วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

American Idiot (The Original Broadway Cast Recording)

วันนี้ได้มีโอกาสฟังอัลบั้มนึงจากหูฟังน้องต้อมสายจีนตอนขาเข้ากรุงเทพในช่วงเช้าพอขาออกตอนเย็นๆ ก็สลับมาฟังจากน้องสิบหกไดรฯ จากมลรัฐตะวันแย้มฟลอริด้าบุรีแล้วรู้สึกอิ่มใจบอกไม่ถูกแม้ว่ารถจะติดมากถึงมากที่่สุดเนื่องจากหนีกีฬาสีมาจากฝั่งวิภาวดีมาฝั่งนี้แทนก็ตามทีเถอะเพลงเค้าดีจริงๆ เพราะว่าระหว่างฟังไม่ได้รู้สึกว่านั่งอยู่ในเทศกาลแสดงรถยนต์กลางแจ้งท่ามกลางสายฝนปรอยๆ แต่รู้สึกว่าได้อยู่ในฮอลล์ดีๆ ซักที่นึงเพื่อชมการแสดงดีๆ จากนักแสดงฝีมือเยี่ยมอยู่ขาดแต่เพียงไม่เห็นเสื้อผ้าของนักแสดงแต่ก็มีภาพในใจเลาๆ ว่า"ถ้า"เค้ากำลังทำการแสดงชุดนี้อยู่น่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหนและโทนสีอะไร..

ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่สุณัยมากๆ ที่มาแปะแนะนำอัลบั้มชุดนี้ไว้ให้ได้ระลึกนึกถึงอีกรอบหลังจากลืมไปแล้วตั้งแต่ได้เห็นการแสดงสดในงานมอบรางวัลแกรมมี่อวอร์ดเพื่อสดุดีคนทำเพลงมาแล้วครั้งนึงเมื่อเดือนก่อน อัลบั้มนี้ชื่อว่า "American Idiot (The Original Broadway Cast Recording)" ซึ่งเท่าที่ทราบมาก็ได้รับการเสนอให้เข้าชิงรางวัลไปบ้างแล้วสำหรับบรอดเวย์โชว์ชุดนี้ทั้งๆ ที่ในแง่ของเนื้อหาและการแสดงอาจจะไม่โดนตานักวิจารณ์มากเท่าไหร่ก็ได้แต่รอฟังผลกันต่อไปว่าจะมีโอกาสได้รางวัลไปครองเช่นเดียวกับ Studio album ชื่อเดียวกันที่เคยได้รับจากเวที Grammy's award และอีกหลายสถาบันอันส่งผลให้ Green Day กลับมาผงาดอีกครั้งบนเวทีท่ามกลางการเฝ้าดูของขาร็อคทั่วโลกหลังจากห่างหายจากเวทีมือถือไมค์ไฟส่องหน้าไปพักใหญ่ๆ


ตัวผมเองรู้จัก Green Day เมื่อได้คุยแลกเปลี่ยนเรื่องเพลงกันกับเพื่อนชาวเวียดนาม ตอนที่ถามว่าชอบศิลปินคนไหนมากที่สุดพวกก็ตอบว่า "Billy Joe" ไอ้เราก็รู้จักแต่ "Billy Joel" เจ้าของเพลง "Uptown girl" จนต้องมาเคลียร์กันเพราะภาษาอังกฤษแบบกระเหรี่ยงของเราก็ฟังแล้วครือกันแหละระหว่าง "Joe กับ Joel" เมื่อเค้าบอกว่าดังวงนี้เราเองก็บ้านนอกไม่รู้จักเลยต้องไปหา CD มาฟังจำได้แม่นว่าเป็นอัลบั้มที่ดังมากๆ ในตอนนั้นชื่ออัลบั้มว่า "Dookies" ที่หน้าปกแนวได้ใจมากๆ ใครไม่เคยเห็นลองกูเกิ้ลดูแล้วจะรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในหน้าปกนั้นเยอะเลย หลังจากฟังไปพักนึงก็เกิดอาการบ้าตามเพื่อนชาวเวียดไปอย่างง่ายดายร้องและเล่นตามได้ทุกเพลงในอัลบั้ม(เพลงมีไม่กี่คอร์ดหรอกแต่เล่นเอาดังไว้ก่อนเพื่อจะได้ดูเทพ หุหุ) จนสุดท้ายข่าวดีที่สุดอันพึงจะมีของเด็กบ้านนอกคนนึงก็เป็นจริงเมื่อมาเจอข่าว "Green Day Live in Bangkok" ในหน้าหนังสือพิมพ์ทำให้อยู่เฉยไม่ได้ต้องลงทุนกดโทรนาทีละสิบแปดบาทจากลำปางเข้ากรุงเทพเพื่อขอร้องให้อาซื้อบัตรให้ในวันแรกที่เปิดขายเพื่อจะได้ชัวร์ว่าได้ดูแน่ๆ เนื่องจากราคาบัตรถูกเกินคือสี่ร้อยบาทเท่านั้น(คนตั้งราคาคงมึน)แถมไปเล่นที่ MBK Hall อีกเท่าที่ทราบจุคนได้ไม่เท่าไหร่หรอกทำให้สงสัยอยู่ลึกๆ ในใจว่า "ทำไมไม่ไปจัดทีใหญ่กว่านี้น้อ"

Green Day เป็นวงดนตรีในแนว Pop Punk ที่ฟังไม่ยากเนื่องจากธรรมดา punk ก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากคำหยาบเสียงกีตาร์แตกๆ และกลองกระตุกๆ ในจังหวะที่ใส่ไปไม่ยั้งตามความไม่เทพของผู้เล่น(อันนี้พูดจริง) พูดง่ายๆ เป็นแนวที่เอามันส์เอาถ่อยแต่ว่าฝีมือทางดนตรีมีน้อยๆ (จะเอาอะไรมากมายล่ะ garage band เล่นกันในโรงรถโดยเด็กหัดเล่นก็แบบนี้แหละ) Green Day เองก็เจอปัญหานี้เช่นเดียวกันกับวงอื่นๆ ที่เกิดก่อนเมื่อหลายๆ นักวิจารณ์บอกว่าวงนี้ฝีมือไม่มีเน้นเอาดังมันส์แล้วก็ถ่อยแค่นั้นแต่ว่าที่ดังเพราะโดนใจวัยรุ่นที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องดนตรีเท่าไหร่(เจอแบบนี้เป็นเราคงจะปรี๊ด) ในความรู้สึกส่วนตัวของคนที่ไม่ค่อยมีพื้นทางดนตรีมากนักหัดเล่นกีตาร์ก็เมื่อตอนเรียน ปวช. เพียงเพื่อเพราะจะเอาไว้ร้องเพลงจีบสาวรู้สึกว่าเพลงของ Green Day นี่เจ๋งนา เสียงกีตาร์แตกๆ ที่ว่ากันว่าเอาไว้กลบไลน์ดนตรีที่ไม่แม่นไม่มีลูกเก็บละเอียดแบบไวหรือว่าอิงวี่(เทียบกันได้ไงหว่า คนนะแนวคนละขั้วโลก)นั้นไม่เหมือนใคร ตรงนี้มาทราบทีหลังว่า"ไม่มีกีตาร์ตัวไหนในโลกให้เสียงเหมือนกีตาร์ของ Billy Joe Armstrong" เพราะว่าเป็นกีตาร์เทพจากเกาหลี(ก็อปเฟนเดอร์มา ชื่อยี่ห้อไม่ต้องบอกเพราะว่าหลายๆ คนอาจจะเคยใช้มาก่อน ฮ่า..) ที่พ่อซื้อมาให้ลูกหัดตีคอร์ดเล่น ที่ว่าเทพนั้นก็เพราะว่า Billy Joe เอามาแกะมาแงะเปลี่ยนคอนแทคใหม่พร้อมทั้งใส่อุปกรณ์สุดเทพตามใจฉันเข้าไปตามความซนส่วนตัว แม้แต่ตู้แอมป์ที่ใช้ก็ผ่านการโมจากมือ Billy มาแล้วทั้งสิ้นรวมไปถึงเอฟเฟคที่ใช้ด้วย ดังนั้นเสียงกีตาร์ของ Billy Joe ไม่มีใครเหมือนแน่นอน(ไวก็ไววี่ก็วี่เหอะ เจอลี่แล้วจะหนาว..)


ไลน์เบสและกลองแม้จะได้รับอิทธิพลมาจาก Punk band ในยุคเก๋าเช่น Ramones, The Clash และ Sex Pistols เป็นต้นพอผสานกับความมันส์ส่วนตัวที่ไม่อยากจะเหมือนใครของมือเบส Mike Dirnt และมือกลอง Tré Cool ทำให้ส่วนผสมของกีตาร์ เบสและกลองเพียงสามชิ้นนี้ของ Green Day ลงตัวพอดิบพอดีและไม่เหมือนใครในยุคนั้นจนปลุกกระแส Punk ให้กลับมาอีกครั้งหลังจากลงไปนอนในหลุมอยู่หลายปี(ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Dookies The album) ถ้าใครได้ดู Green Day เล่นสดๆ แล้วจะรู้เลยว่าถ้ารัก Green Day จริงต้องไปดูสดให้ได้แล้วคุณจะได้รับรสชาติที่ไม่เคยได้เลยเมื่อฟังจากแผ่น ว่ากันว่า Green Day เป็นหนึี่งในวงที่แสดงสดได้ดีที่สุดในโลก สมัยโน้นเล่นหนึ่งเพลงใช้ไม้กลองหนึ่งชุดจบเพลงปุ๊บเสี่ย Tre จะตีอัดให้ไม้กระเด็นไป(อาจจะคิดว่าเท่ห์มั๊ง) หลังจากอังกอร์เสร็จจะเอาเท้าไล่เตะแท่นกลองและตู้แอมป์ล้มจนหมดจะได้ไม่ต้องเรียกออกมาเล่นอีก(ในสายตาวัยรุ่นนี่ขอบอกว่าเท่ห์คอดพี่น้อง..)





แต่วัยรุ่นก็คือวัยรุ่น วัยรุ่นวันนึงก็ต้องโต Green Day ก็เช่นเดียวกันเค้าก็ต้องมีวันโตเมื่อเริ่มตันจากแนวเพลงเดิมๆ ที่ตัวเองเล่นก็พยายามเปลี่ยนแนวในอัลบั้มชุด Nimrod แต่ก็ไปได้ในระดับหนึ่งแม้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์แต่แฟนเพลงเก่าๆ บางส่วนก็รับไม่ค่อยได้แม้จะมีหลายเพลงที่ดังแต่ว่ามีขึ้นก็ต้องมีลงหลังจากออกอัลบั้มตามมาอีกสองสามอัลบั้มคือ Warning แล้วก็รวมเพลงเคยดังอีกสองอัลบั้มพวกเค้าก็หายหน้าไปจากวงการจนวันหนึ่งหลังจากที่พยายามเข้าห้องอัดเพื่อจะกลับมาอีกครั้งมาสเตอร์เทปของอัลบั้มที่ยังไม่ออกจำหน่ายที่มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Cigarettes and Valentines "หาย" ไป ตรงนี้เองเป็นจุดพลิกทำให้ทั้งวงต้องหันหน้ากลับมาคุยกันใหม่โดยที่มือเบสและมือกลองออกอาการต่อต้านความเป็นเผด็จการทางความคิดของ Billy Joe ที่ผูกขาดการแต่งเพลงและแนวทางของอัลบั้มของวงมาตลอด จนสุดท้ายทุกฝ่ายยอมหันหน้าเข้าหากันช่วยกันคิดหาคนมาช่วยเพิ่มเติมส่วนขาดเปลี่ยนปรับกระบวนความคิดเป็นจากกุ๊ยข้างถนนมาเป็น Punk upgrade แต่งตัวเรียบหรูดูดีขึ้นเพิ่มความขรึมเข้ามาในทีแล้วก็ปล่อยอัลบั้มนึงออกมาในปี พศ. 2548 ซึ่งเป็นที่มาของกระทู้นี้อัลบั้มนั้นมีชื่อว่า "American Idiot"

หลังจากที่ปล่อยออกสู่ตลาด Green Day ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งแฟนเพลงรุ่นเก่า(มีผมคนนึง)กับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเสพงานของวงมาก่อนทำให้อัลบั้มนี้ฮิตติดตลาดยอดขายกระจายพร้อมทั้งอีกสารพัดรางวัลที่ได้รับรวมไปถึงรางวัล Grammy "Best Rock Album" กับรางวัล Music Video อีกหลายตัว ต่อมาอีกปีก็ได้รับรางวัล Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams" จากอัลบั้มชุดเดียวกันและอัลบั้มชุดนี้ในรับคำวิจารณ์ในทางบวกดีมากเพราะว่าลวดลายของเพลงและการนำเสนอเข้าขั้นดีมากๆ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Punk Rock Opera เมื่อได้ฟังอัลบั้มนี้ครั้งแรกรู้สึกถึงความต่อเนื่องของอารมณ์เพลงที่ส่งต่อกันได้ราบรื่นๆ มากๆ แม้จะเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วแต่พอฟังแล้วรู้สึกว่ามันนุ่มนวลในอารมณ์เหมือนนั่งดูหนังเพลงดีๆ ซักเรื่องสุดท้ายก็สมใจเมื่อมีการเอาอัลบั้มนี้มาเป็นแกนการดำเนินเรื่องของละครเพลง broadway โดยใช้ชื่อโชว์ว่า American Idiot (musical) โดยใช้เพลงจากอัลบั้ม American Idiot เป็นส่วนมากรวมไปถึงซิงเกิ้ลดังจากอัลบั้มใหม่ล่าสุด 21st Century Breakdown ที่ออกมาในแนวเดียวกันกับอัลบั้มที่แล้วที่มีชื่อเพลงว่า 21 Guns เพลงในอัลบั้มนี้ร้องโดยนักแสดงของโชว์แล้วก็ Green Day เองมีส่วนร่วมในการทำดนตรีทำให้เพลงในชุดนี้มีกลิ่นอายของ Green Day พร้อมทั้งผสมเครื่องปรุงคือเครื่องสายและเสียงร้องในแนว broadway เข้าไปด้วยทำให้งานเพลงชุดนี้ลงตัวอย่าไม่น่าเชื่อ อยากแนะนำลองซื้อหามาฟังกัน(รักกันจริงต้องซื้อแผ่นแท้เท่านั้น) แต่ถ้าไม่ใช่แฟน Green Day หรือว่าไม่เคยฟังหากอยากจะลองฟังดูก่อนก็เห็นมีให้ได้ฟังกันทางออนไลน์อยู่นะครับ


หลังจากที่ได้ดูการแสดงในงานประกาศรางวัล Grammy ปีล่าสุดนี้ที่ทางวงได้เลือกเพลง 21 guns มาเล่นกับนักแสดงจากบรอดเวย์จนเกิดความรู้สึกว่าอยากได้สตูดิโออัลบั้มของงานดนตรีชุดนี้มาครอบครองแล้ว.. ก็ยังหวังลึกๆ ในใจว่าวันนึงคงจะมีโอกาสไปนั่งดูการแสดงชุดนี้ที่ NYC เพื่อให้ความรู้สึกอิ่มที่มีในรถในวันนี้ได้รับการเติมเต็มจากการแสดงสดๆ เหมือนกับที่เด็กบ้านอกคนนึงได้รู้สึกเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนไปดู Green Day Live in Bangkok

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ





ปล. พิมพ์สดๆ ยาวๆ ทีเดียวเพื่อความสดของอารมณ์และความรู้สึกอาจจะมีสะดุดบ้างในบางตอนขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ

[Review] JH 16 Pro ในทรรศนะของข้าพเจ้า

เกริ่น: ก่อนอื่นอยากจะบอกว่าผมชอบประโยคของพี่เน็ก lek_ultra จริงๆ ที่ว่า "หูฟังไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีค่ายไหนดีกว่าค่ายไหนอยู่แล้ว....ขึ้นกับความชอบและแนวการฟังส่วนบุคคล... ยิ่ง Custom ด้วยแล้ว....ลองได้เป็นแนวทางหลักๆเท่านั้น เพราะโอกาสใส่ได้พอดีเจ้าของแป๊ะๆ ไม่ค่อยพบเท่าไร...." ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะความชอบส่วนตัวนั้นไม่มีผิดมีถูกเป็นความรู้สึกของเราส่วนตัวตราบใดที่ยังไม่กระทบคนอื่น

ว่าไปนี่ไม่ว่าเรื่องอะไรจะหยิบจะจับสิ่งไหนหรือว่าต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องใดสิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องทราบจุดประสงค์หลักของเรื่องนั้นก่อนไม่ว่าจะเป็นการใช้งานหรือว่าแนวคิดในเรื่องนั้นๆ ครูผมเคยสอนว่า"ใช้เครื่องมือห้ามใช้ผิดประเภทอย่างเด็ดขาด" เช่นกรรไกรเอาไว้ตัดชะแลงเอาไว้งัดเมื่อไหร่เอากรรไกรมาใช้แทนชะแลงไม่ใครก็ใครอาจจะเจ็บตัวกันได้ สำหรับในที่นี้้รามาพูดถึงเรื่องของอุปกรณ์ทางเสียงซึ่งก็หนีไม่พ้นว่าประกอบด้วยจุดประสงค์หลักก็คือประเภทของงานที่ใช้ประกอบกับความชอบส่วนบุคคลอีกเช่นกัน ยกตัวอย่างแบบมั่วๆ ตามประสาคนไม่ค่อยรู้อะไรมากนักคือเรื่องของการใช้หูฟังในงานคอนเสิร์ต เท่าที่เห็นนี่ประกอบไปด้วยการใช้หูฟังของสามกลุ่มหลักที่มีความต้องการแตกต่างกันไปในการใช้งานหูฟัง

1. หูฟังของนักดนตรี ต้องการความชัดเจนและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอารมณ์ในการนำเสนอ(หูคัสต้อมบางเจ้ามีใส่ option ambient มาให้ด้วยเพื่อให้ได้ยินเสียงจากในฮอลล์ด้วยเพราะว่าตอนที่ฟังจากในหูความรู้สึกว่าเกิดเสียงหลอกมีอยู่เหมือนกัน แต่นักร้องบางท่านเช่น MJ ชอบที่จะใช้ inner ear หรือการรับรู้เสียงของตัวเองมากกว่าจะเอาคัสต้อมมาใส่ ก็ว่ากันไปตามความคุ้น)
2. หูฟังของคนคุมเสียง ต้องการความชัดเจนและถูกต้องเพื่อช่วยในการปรับแต่งแก้ไขเพิ่มเติมให้ได้เสียงตรงตามที่ต้องการก่อนออกลำโพงและก็ส่งกลับไปหานักดนตรีด้วย ตรงนี้ถ้าคนคุมเสียงเป็นควรที่จะถามความต้องการว่าจะให้ปรับแต่งเร่งเบายังไงตามความต้องการของนักดนตรี
3. หูฟังของทีมงานรอบพื้นที่การแสดงและหลังเวที ต้องการความชัดเจนเช่นกันแต่ว่าเป็นไปเพื่อการติดต่อสื่อสารในกลุ่มหรือระหว่างทีมงานให้เข้าใจตรงกันจะได้ไม่ผิดพลาดในระหว่างปฏิบัติงาน เช่น ทีมรักษาความปลอดภัย ทีมบันทึกภาพเคลื่อนไหวภาพนิ่ง ทีมควบคุมเวทีฯลฯ

และหูฟังทั้งสามประเภทนั้นอาจจะเป็นหูฟังชนิดเดียวกันก็เป็นได้แต่จุดประสงค์ในการใช้งานต่างกันแน่นอนอีกทั้งอารมณ์ของแต่ละกลุ่มก็ไปกันคนละทางแต่ว่าอย่างที่บอกว่ากันไม่ได้เพราะว่างานและความต้องการไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะอย่างไรสามประสานงานสำเร็จทั้งสามกลุ่มต้องทำงานในส่วนของตนให้เต็มที่แล้วงานคอนเสิร์ตนั้นๆ ก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ยิ่งประสานส่งต่อกันดีมากเท่าไหร่งานคอนเสิร์ตนั้นๆ ก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้นไปเท่านั้น อย่าคิดว่ามีแต่นักร้องนักดนตรีแล้วจะทำให้คอนเสิร์ตนั้นดีได้ยกเว้นเล่นสดตามคลับซึ่งใครไม่เคยลองฟังดนตรีแบบนี้อยากให้ไปหาฟังดูแล้วจะรู้ว่าความดิบความมันส์่และการมีส่วนร่วมในเพลงแบบมากๆ เป็นอย่างไร(หมายเหตุ: เมื่อเจอนักดนตรีหรือนักแสดงมืออาชีพเพราะเคยไปนั่งดูตลกฝึกหัดระหว่างรอคุยงานอยู่ครั้งนึงบอกตามตรงว่าเป็นชั่วโมงที่อึดอัดจริงๆ เพราะอารมณ์ในตอนนั้นมีทั้งเอาใจช่วยให้เค้าแสดงต่อไปให้รอดในฐานะคนทำงานในสายงานเดียวกันและก็รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูกเพราะแต่ละมุกที่เค้าปล่อยออกมานั้นมันไม่ได้ขำเลยจริงๆ)

เราแต่ละคนซื้อหูฟังมาก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันในใจซึ่งจุดประสงค์ที่ซื้อมานั้นขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน(อีกแล้ว)ว่ากันไม่ได้ บางคนซื้อเพราะประสงค์อยากจะได้เบสแน่นๆ บางคนก็ต้องการเสียงโปร่งๆ แต่บางคนก็อยากได้เสียงแฟลตๆ ซึ่งรีวิวต่างๆ ที่มีให้อ่านกันเป็นเพียงแนวทางให้พอรู้ว่าเสียงของหูฟังตัวนั้นเป็นเช่นไรในความรู้สึกของผู้เขียนแต่สุดท้ายเราเองก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเลือกในที่สุด ขอแนะนำก่อนว่าถ้าจะซื้อหูฟังแล้วละก็จำเป็น"ต้อง"ลองเลยละครับอย่าอ่านรีวิวแล้วก็ตัดสินใจซื้อเลยยกเว้นรวยจัดๆ หรือว่าอยากลองอย่างสุดๆ ในกรณีหลังสติและความยับยั้งชั่งใจพอช่วยได้โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาอย่าใจเร็วด่วนได้ หูฟังไม่ใช่อาหารแหลกด่วนที่สั่งตามหมายเลขแล้วก็ได้กินทันทีเพราะว่าเราเข้าร้านแหลกด่วนรสชาติเป็นเรื่องรองเวลาและความสะดวกเป็นเรื่องหลัก ลองให้แน่ใจก่อนว่าชอบมันจริงๆ แล้วค่อยตัดสินใจซื้อก็ไม่สายเกินไปดีกว่าซื้อมาแล้วมาแหนงใจในภายหลังว่า "ไม่น่าเลย.. รู้งี้...ดีกว่า"



สำหรับผมเองพึ่งได้หูฟังมาตัวนึงซึ่งได้สั่ง pre-order ไปกับทางตัวแทนประเทศไทยไปซึ่งสาเหตุที่สั่งจากตัวแทนก็คือไม่อยากจะทำอะไรที่ยุ่งยากมากนักอีกอย่างก็มีส่วนลดให้ด้วยแม้ว่าราคาจะสูงกว่าสั่งเองบ้างนิดหน่อยแต่สะดวกกว่ากันมาก ซึ่งทางตัวแทนก็อยากจะทราบความเห็นในมุมมองของผู้ใช้หูฟังรุ่นนี้ว่าเป็นอย่างไรเลยคิดว่าน่าจะลองเขียนมาให้อ่านกันดูเป็นแนวทางซึ่งๆ หลายๆ ท่านก็คงจะได้ลองกันไปบ้างแล้วก่อนที่จะได้อ่านรีวิวชิ้นนี้หากความเห็นของท่านไม่ตรงกับที่เขียนไว้ก็ขออภัยด้วยละกันครับเพราะก็ว่าไปตามความรู้สึกของหูบ้านๆ และอาจจะมีอคติเจืออยู่บ้างตามประสาคนจ่ายตังค์ซื้อหามาใช้ซึ่งก็ต้องเข้าข้างตัวเองเป็นธรรมดา หุหุ

อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
1.iPod Classic
2.iPhone 3Gs
3.SONY X series 1050 ขอบคุณพี่ตุ้ย redbook มากที่เอามาให้ยืม
4.iMac & Macbook

ไฟล์เพลงที่ใช้ทดสอบ:
สารพัดแนว ความละเอียดทุกความละเอียดเท่าที่นิยมในตลาด แต่ก็ไฟล์ lossless ต่างๆ

spec:
การตอบสนองความถี่: 10Hz-20kHz
ความไว: 118dB ที่ 1mW
อิมพีแดนซ์: 18 โอห์ม

การออกแบบและชิ้นงาน: ตรงนี้คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากเพราะว่าหูฟังแบบคัสต้อมทำมาเพื่อให้เข้ากับช่องหูของเจ้าของแต่ละท่านที่จะต่างกันก็คงจะเป็นที่สีและลวดลายตามความต้องการของแต่ละคนซึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหูฟังคัสต้อมที่ทำให้หลายๆ คนหลงใหลในจุดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกก็คือว่าชิ้นงานของทาง JHA ที่ทำออกมาในช่วงหลังนี้เนี๊ยบกว่าหูฟังตัวเดิมที่ครอบครองอยู่เยอะเลยทั้งตัวเปลือก,งานประกอบ,อาร์ตเวิร์คและบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุ(น่าจะทำแบบนี้แต่แรกแล้ว) คือจากเดิมที่ใช้กล่องพลาสติคทำเป็นลายคาร์บอนไฟเบอร์ก็เปลี่ยนเป็นกล่องสุญญากาศขนาดเล็กใสพร้อมถุงกำมะหยี่สีดำน่าลูบไล้อยูภายในให้แทนดูมีสกุลรุนชาติขึ้นมาทันทีตรงนี้ต้องให้เครดิตกับทีมงานก่อนเลยในเบื้องต้นเพราะอย่างน้อยเกือบปีที่ผ่านมาได้เห็นพัฒนาการของบริษัทไปในทางที่ดีขึ้นจากโรงงานนรกมาได้มาตรฐาน ISO9999


ความประทับใจแรก: เมื่อทดลองใส่ฟังเป็นครั้งแรกเสียงที่ได้ยินเด่นนำอย่างอื่นเลยก็คือเสียงเบสครับที่ไม่ใช่มากันทั้งบ้านแต่คงจะยกขโยงกันมาทั้งอำเภอเลยทีเดียว ในช่วงแรกยังคุมตัวโน๊ตเบสได้ไม่ดีนักมันแกว่งๆ แถมกินเข้าไปในย่านกลางอยู่บ้างแต่พอผ่านสองชั่วโมงขึ้นไปเสียงเริ่มเข้าที่อาการกินล้ำไปในย่านกลางค่อยๆ หายไปและคุมตัวโน๊ตได้แม่นขึ้นพูดง่ายๆ ว่าเริ่มฉายแววเทพมากขึ้นกว่านาทีแรกที่ได้ฟังอยู่พอสมควร สาเหตุที่ต้องพูดถึงประเด็นนี้ก่อนก็เพราะว่าได้เลือกแทรคที่เน้นๆ เสียงต่ำมาเปิดเป็นส่วนใหญ่ทั้งจากแทร็คทดสอบเสียง,เพลงประกอบภาพยนต์และเพลงร็อคโหดๆ อีกสารพัดเพลงเนื่องจากว่าสิ่งที่เป็นจุดแข็งและจุดขายของเจ้าตัวน้อยนี้ก็คือเรื่องของเบสนี่แหละซึ่งถ้าไม่นำมาพูดก่อนก็เหมือนกินน้ำแข็งแล้วไม่พูดถึงความเย็นยังไงยังงั้น

หลังจากเปิดฟังสลับไปมาแบบ shuffle โดยใช้เพลงสารพัดแนวก็พบว่าหูตัวน้อยนี่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวซึ่งเหตุผลที่บอกว่าไม่ธรรมดานั้นเป็นอย่างไรจะกล่าวไว้ในหัวข้อต่อไป อ่อ ตัวนี้มีความไวในการตอบสนองความถี่ของ JH16 น้อยกว่า JH13 อยู่บ้างทำให้ไดนามิคของ JH13 ดีกว่า JH13 เวลาฟังเร่งมากกว่า JH16 เล็กน้อยเพราะอิมพีแดนซ์น้อยกว่า(อาจเป็นเพราะไดรเวอร์ความถี่ต่ำที่ใส่เข้าไปสี่ตัวนั้นต่อขนานกันอยู่ อนุมานเอานะครับเพราะไม่ได้เอาแว่นขยายไปส่อง หุหุ)





บรรยากาศความเป็นดนตรีมิติและตำแหน่งของเครื่องดนตรี: อยากจะพูดถึงส่วนนี้ก่อนเพราะในความรู้สึกของผมนั้นสิ่งที่เป็นจุดแข็งมากๆ ของหูฟังตัวนี้คือการ"ดึงเราเข้าไปในอารมณ์ของเพลงได้ง่าย"จริงๆ ไม่ว่าจะเปิดเพลงในแนวไหนก็ตามแต่จะดีมากๆ ถ้าใช้เปิดฟังบันทึกการแสดงสดไม่ว่าจะเป็นเพลงพื้นบ้าน ร็อค คลาสสิค แจ๊สหรือแม้แต่บลู ซึ่งคงต้องแวะคุยกันนิดนึงในเรื่องของบลู คำว่าบลูหมายถึงสีน้ำเงินแต่ถ้าพูดถึงประเภทของเพลงคำว่าบลูหมายถึงเพลงที่ให้ความรู้สึกเศร้าโศกเป็นพื้นฐาน พอสุ่มมาถึงเพลงๆ นึงที่ชื่อว่า tears in heaven ของอีกหนึ่งเทพกีตาร์บลู eric clapton ซึ่งแต่งขึ้นหลังจากสูญเสียลูกชายตัวเล็กจากความเลินเล่อของพี่เลี้ยงจนเป็นเหตุให้เด็กตกตึกเสียชีวิตพอเสียงกีตาร์ตอนเริ่มเพลงดังขึ้นเท่านั้นทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในวันหนึ่งซึ่งผมเองมีอารมณ์บลูแบบจัดๆ คือได้หวนย้อนระลึกไปถึงตอนที่ถูกเค้าไล่ออกจากที่ทำงานแรกในชีวิตหลังจากที่เลิกแบมือของเงินพ่อแม่.. น่าประทับใจจริงๆ ทำงานที่แรกก็ถูกเค้าไล่ออก


อารมณ์ในตอนนั้นมันบอกไม่ถูกครับ ธรรมดาเพลงนี้ผมเปิดบ่อยเพราะมีความชื่นชอบเป็นการส่วนตัวแต่ก็ไม่ได้อินอะไรนักเพียงแต่ว่าชอบไลน์กีตาร์ของเพลงก็เท่านั้นเอง แต่พอถูกเค้าไล่ออกจากงานก็เกิดความรู้สึกอยากจะเล่นเพลงนี้ขึ้นมาจับจิตจึงชวนครูที่สอนผมเปิดแผ่นมาเล่นเพลงนี้ด้วยกันในคืนสุดท้ายของการทำงานที่นั่น ในช่วงสี่ห้านาทีที่เล่นโดยมีอารมณ์บลูเป็นพื้นฐานนั้นมัน"เข้าใจอารมณ์"ของลุง eric ขึ้นมาทันทีว่าไลน์กีตาร์ของเพลงนี้มันมีทั้งเศร้าสับสนหาและทางออกให้ตัวเองไม่เจอพร้อมทั้งลึกๆ มีแอบแถมความอ่อนไหวอยากจะฆ่าตัวตายซ่อนอยู่อีกต่างหาก จากวันนั้นถึงวันนี้นี่ผมได้ลืมอารมณ์นั้นไปแล้วและก็ไม่ค่อยได้เปิดฟังเพลงนี้ด้วยแต่พอเปิดสุ่มเจอเพลงนี้ขึ้นมาอีกทีภาพในวันที่นั่งอยู่บนเวทีสองคนกับครูมันโผล่ขึ้นมาในใจ พอจับความรู้สึกตรงนี้ได้ก็เลยไล่เปิดเพลงที่ตัวเองชอบไล่ไปทีละเพลงทีละแนวแบบกึ่งๆ สุ่มๆ ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่คิดอยู่นั้นถูกต้องซึ่งก็คือ JH16 สามารถดึงเราเข้าไปในอารมณ์เพลงได้ดีพูดง่ายๆ ก็คือ"ฟังแล้วรู้สึกมีส่วนร่วม"ในเพลงนั้นๆ ได้ง่าย

เรื่องของบรรยากาศก็เป็นอีกเรื่องที่เด่นซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งต่างจาก JH13 คู่ใจอยู่พอสมควรถ้าใครเคยอ่านรีวิว JH 13 Pro ในทรรศนะของข้าพเจ้าจะพบว่าผมเคยบอกว่าบรรยากาศของ JH13 นั้นมันชัดเจนมากไปนิดนึงทำให้รู้สึกจริงจังมากกว่า UE11 ในการฟังเพลงบันทึกการแสดงสด แต่พอมาถึง JH 16 ตรงนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีบรรยากาศรายรอบของเพลงดีขึ้นมากๆ เสียงก้องสะท้อนของห้องอัดหรือว่าฮอลล์แสดงคอนเสิร์ตออกมาให้รับรู้ได้พอดีๆ ซึ่งก็เดาว่าความรู้สึกที่ได้ยินน่าจะรู้สึกเหมือนกับนักดนตรีที่ติดโหมด ambient ให้หูคัสต้อมเพื่อรับฟังบรรยากาศในระหว่างเล่นเพื่อช่วยเสริมและส่งอารมณ์ให้พีคจะได้นำเสนอบทเพลงออกมาสัมผัสใจของผู้ชมได้มากขึ้น หูฟังตัวนี้เหมาะกับเอามาฟังเพลงบันทึกแสดงสดจริงๆ แม้แต่ฟังเพลง studio version อยู่ใจก็พาลนึกถึงเพลงนั้นในแบบบันทึกการแสดงสดขึ้นมาทันใด

ความเป็นดนตรีของ JH16 มีมากกว่า JH13 ทำให้ฟังเพลงได้อารมณ์และหลากหลายแนวมากกว่า JH13 ที่แน่ๆ ฟังแล้วสนุกมากกว่า JH13 แต่ก็ยังคงความเป็นมอนิเตอร์อยู่พอสมควรคือเสียงที่ออกมาค่อนข้างจะกลางอยู่เหมือนกัน จะเด่นมากๆ เมื่อฟังเพลงร็อค,ริทึ่มแอนด์บลูและเพลงแดนซ์ทุกแนว สำหรับเพลงแจ๊สก็นำเสนอได้ค่อนข้างดีเพราะการตอบสนองความถี่ค่อนข้างฉับไวในทุกย่านทำให้ฟังแล้วสนุกโดยเฉพาะช่วงอิมโพรไวซ์ ที่ไม่ค่อยดีนักก็คือเพลงคลาสสิคที่ว่าไม่ค่อยดีนักก็คือว่าในความถี่ต่ำค่อนข้างจะมากไปนิดนึงในช่วงโหมโรงทำให้ตำแหน่งของเครื่องถูกลดความชัดเจนมาลงบ้าง ตำแหน่งของเคร่ืองดนตรีที่ JH16 นำเสนอให้ได้ยินค่อนข้างชัดเจนทำให้รับรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนได้ไม่ยากโดยเฉพาะเมื่อฟังเพลงบันทึกการแสดงสด และเมื่อฟังเพลงที่ชิ้นดนตรีไม่มากนักนี่เยี่ยมมากในการบอกตำแหน่งโดยเฉพาะ quartet หรือว่ trio ขาแจ๊สน่าจะถูกใจถ้าได้ลองฟัง






ความถี่ต่ำ: นี่สิจุดขายแล้วก็เป็นจุดเด่นของหูตัวน้อยตัวนี้อย่างแท้จริง ว่ากันว่าการเพิ่มเสียงต่ำให้กับชุดฟังเพลงจะช่วยเสริมมิติให้พร้อมทั้งช่วยขับให้เสียงกลางและสูงดีขึ้นด้วย ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่มากนักเท่าไหร่อยากจะบอกว่าเห็นด้วยกับที่เค้าว่ามาทุกประการ ซึ่งถ้าใครมีชุดสองแชนแนลที่จัดวางตำแหน่งค่อนข้างลงตัวดีแล้วอยากจะทดสอบเรื่องนี้ดูก็สามารถทำได้โดยอาจจะไปยกยืม(หยิบยืมคงจะไม่ไหว)ซับวูฟเฟอร์ของเพื่อนมาลองต่อเพิ่มฟังดูก็ได้แต่บางท่านอาจจะแย้งว่าซับวูฟเฟอร์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดออกแบบมาเพื่อใช้ดูภาพยนตร์แบบหลายช่องสัญญาณเป็นหลักซึ่งผมเองเห็นด้วยทุกประการ อีกอย่างซับฯ ที่ทำออกมาเพื่อฟังเพลงนั้นราคามหาโหดมากๆ มีไม่กี่ยี่ห้อด้วยที่ทำได้ดีแต่ว่าถ้าต้องการจะลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่เค้าว่ามาซับฯ ดูหนังก็พอช่วยได้แหละแต่่ว่าแนะนำให้หาตัวเขย่งหรือว่าทิปโทมารองใต้ขาพร้อมทั้งจะให้ดีหาหมอนข้างมาวางไว้ในแนวตั้งที่มุมห้องหลังซับฯ ด้วยก็จะช่วยดึงให้เสียงเบสขนาดมโหฬารลดขนาดลงมาได้ในระดับนึงเลยทีเดียวส่งผลให้การทดลองเรื่องการเอาซับฯ มาเสริมในการฟังเพลงได้ผลอย่างเต็มที่

ไหนๆ ก็พูดถึงซับฯ แล้วก็ขอต่ออีกนิดนึงก็แล้วกันนะครับว่าประเด็นที่เราหาซับฯ มาใช้ก็เพื่อเพิ่มความรู้สึกและแรงปะทะจากความถี่ต่ำที่ออกมาจากซับฯ นั่นเอง จริงๆ ซับฯ ส่วนมากแล้ว"แทบจะไม่มีเสียงออกมา"ที่ออกมาจากตัวของมันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เรารับรู้ก็คือ"ความรู้สึกและแรงปะทะ"เค้าถึงเรียกว่า .1 เพราะมันไม่ครบแชนแนลนั่นเองดังนั้นอุปกรณ์เสริมประเภทที่สร้างความสั่นสะเทือนจึงนำมาใช้แทนซับได้ค่อนข้างดี และจากที่เคยได้อ่านและก็ไปหาลองฟังดูบ้างเมื่อสมัยที่หาซับฯ มาใช้นั้นพบว่า ซับฯ แบบใช้ดอกตัวเล็กหลายตัวช่วยกันเมื่อเทียบกับซับฯ ที่ใช้ดอกโตเพียงตัวเดียวนั้นที่ต่างกันก็คือ "ซับฯ ที่มีดอกตัวเล็กหลายตัวลงลึกได้ไม่เท่ากับซับฯ ที่ใช้ไดรเวอร์ขนาดใหญ่ตัวเดียว" ซึ่งหลายท่านอาจจะนึกในใจว่าแล้วจะเอามันมาใช้ทำไมในเมื่อมันลงลึกได้ไม่เท่ากับซับที่มีไดรเวอร์ขนาดใหญ่ เท่าที่เคยเจอซับที่มีไดรเวอร์หลายตัวมักจะใช้ร่วมกับลำโพงแซทเทลไลท์ตัวเล็กหรือไม่ก็ใช้ในลำโพงกลางแจ้ง ข้อดีสุดๆ ของมันก็คือว่าเสียงต่ำที่ออกมาเร็วมีไดนามิคของเสียงต่ำดีกว่าแบบไดรเวอร์ตัวใหญ่ที่แม้ว่าแรงปะทะจะเยอะลงได้ลึกแต่ว่ามีความหนืดอยู่ในตัวจนบางทีอาจจะมีติดบวมอยู่เหมือนกัน ดังนั้นการออกแบบซับที่เค้าเรียกว่า .1 นั้นยากเอาการแถมจะหาดีๆ ก็ไม่ง่ายหลายๆ ท่านที่เล่นลำโพงสองแชนแนลอาจจะเคยเจอกับตัวมาบ้างแล้ว

สำหรับ JH16 นี้อาจจะพูดได้ว่าเป็น JH13 ที่ติดซับฯ ให้มาด้วยก็น่าจะได้ แต่ก็จริงๆ แล้วจากความรู้สึกที่ได้ฟังแล้วนี่อยากจะบอกว่าก็ไม่ใช่ซะเลยทีเดียวเพราะมีความแตกต่างกันในบุคลิกเสียงอยู่บ้าง เหมือนๆ กับว่าแม้จะเป็นสามทางเหมือนกันคือมีครอสโอเวอร์เอาไว้แยกความถี่ให้กับไดรเวอร์ในแต่ละชุดรวมสามชุดด้วยกันคือ สูง กลาง และต่ำ แต่เหมือนกับว่าจุดแบ่งความถี่ให้กับไดรเวอร์แต่ละชุดเปลี่ยนไป ซึ่ง Jh13 จากที่เคยรีวิวไว้นั้นความลึกของความถี่ต่ำค่อนข้างลงได้ลึกอยู่แล้วเพียงแต่ว่าแรงปะทะน้อยไปหน่อยและความถี่ต่ำช่วงกลางๆ ที่เรามักจะได้ยินกันเป็นส่วนใหญ่จากเสียงกระเดื่องน้อยไปนิดเพราะต้องการนำเสนอความพอดีและชัดเจนของความถี่ในแต่ละย่าน พอมาถึง JH16 ทางลุงเจอได้ปรับแก้ตรงนี้มาแล้วทำให้เสียงต่ำของ JH16 นั้นมีแรงปะทะที่น่าประทับใจมากๆ หลังจากผ่านการเบิร์นไประยะหนึ่งเพราะว่าโดยไดร์เวอร์แบบอเมเจอร์นี้แทบไม่จำเป็นจะต้องเบิร์นแต่ว่าหูฟังไม่ได้มีแต่ไดรเวอร์ดังนั้นจึงต้องเบิร์นเหมือนกันจากที่ฟังมาพอผ่านสามสิบชั่วโมงไปเสียงเริ่มจะนิ่งไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

จังหวะที่นักดนตรีกระตุกสายดับเบิ้ลเบสซ้อนๆ กันในเพลง trio jazz ให้ความรู้สึกสมจริง เสียงกลองสองหรือสามกระเดื่อง(สามจริงๆ ครับไม่ได้เล่นมุกใน blu-ray ชุด This is it)สดกระแทกกระชั้นอย่างชัดเจน กลองญี่ปุ่นก็ลงไม้แต่ละทีนี่หนักถึงใจ ล่าสุดไปที่เกาหลีมาได้ลองไปฟังกลองเกาหลีตีอยู่ใกล้ๆ ซึ่งรูปแบบของกลองเกาหลีและวิธีการตีแทบไม่แตกต่างจากกลองโคโดที่เคยได้ยินมานานแล้ว เสียงของกลองประเภทนี้เมื่อฟังจากหูฟังแบบอินเอียร์นั้นผมไม่เคยได้อารมณ์แรงๆ แบบที่เคยได้ยินจากของจริงเลยเพราะว่าแรงปะทะนั้นต้องอาศัยขนาดของไดรเวอร์เป็นสำคัญแต่ว่าไดรเวอร์แบบอเมเจอร์ให้ตรงนี้แทบจะไม่ได้ อีกประการนึงก็คือเราจะเอาแรงปะทะไปทำไมในเมื่อตัวหูฟังเองก็เสียบเข้าไปในช่องหูโดยตรงถ้ามีแรงปะทะเยอะๆ เกรงว่าแก้วหูจะแตกเอาง่ายๆ แต่ว่า JH16 ให้ความรู้ถึงถึงแรงปะทะได้ค่อนข้างดีบอกตามตรงว่าเหมือนกับจะลงต่ำได้ลึกไม่เท่ากับ UE11 แต่ที่เจ๋งกว่าก็คือความเร็วและรายละเอียดที่ UE11 ให้ได้ไม่เหมือนกับ JH16 ไม่ใช่ว่าดีกว่าหรือแย่กว่านะครับแต่ว่าให้ได้"ไม่เหมือนกัน"


เสียงกลางและสูง: อยากจะกล่าวถึงไปพร้อมกันเลยเพราะว่าหูฟังในตระกูล JH นั้นขึ้นชื่อและเป็นที่เลื่องลือในส่วนของเสียงกลางและสูงที่เป็นธรรมชาติและสมจริงอยู่แล้วคงไม่ต้องกล่าวอะไรมากนัก สำหรับ JH16 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังในเรื่องนี้เสียงกลางและสูงค่อนข้างดีมากคือสมจริงและมีไดนามิคที่ดีแต่ว่าเมื่อเทียบกับ JH13 แล้วส่วนตัวผมชอบกลางของ JH13 มากกว่าแต่ว่าเสียงกลางของ JH16 ฟังรื่นหูมากกว่าออกติดหวานนิดนึงคิดว่าผู้ที่ชอบแนวหลงเสียงนางคงจะชอบได้ไม่ยาก(ถ้าได้ลอง) แหลมไม่กัดหูแต่ว่าเมื่อเทียบกับ JH13 แล้วไปได้ไกลไม่เท่า(ตามที่รู้สึกเพราะว่าในทางเทคนิคแล้วก็ไปได้เท่ากันแหละ) ความละเอียดของเสียงสูงเยี่ยมเมื่อรวมกับเสียงกลางที่ค่อนข้างเนียนแล้วทำให้มีความพริ้วไหวอยู่ในตัวเมื่อฟังเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองหรือว่าเครื่องเคาะประเภทต่างๆ



สรุป: JH16 เป็นหูฟังที่กลาง(Neutral) ฟังสนุก(Fun) และทำให้มีอารมณ์ร่วมกับเพลงได้ดี(Involving) คล้ายๆ กับเป็น JH13 ที่ติดซับวูฟเฟอร์มาให้ ฟังเพลงได้หลากหลายแนวและเหมาะอย่างยิ่งในการฟังเพลงบันทึกการแสดงสดในรูปแบบต่างๆ สุดท้ายอยากจะบอกว่าแม้ว่าโดยรวมแล้ว JH16 เป็นหูฟังคัสต้อมที่ดีมากๆ ในตอนนี้คงไม่มีตัวเทียบเมื่อเอ่ยถึงเสียงโดยรวมๆ แต่... สำหรับผมแล้ว JH13 เป็นหูฟังตัวที่ผมฟังแล้วชอบที่สุดอยู่ดีโดยเหตุผลดังที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นแล้วก็คือจุดประสงค์ในการฟังเพลงของแต่ละคนแตกต่างกันไปซึ่งด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผม"ชอบ JH13 มากกว่า JH16 ในเพลงส่วนใหญ่ที่ผมฟัง"แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางอารมณ์คนเราก็ต้องการสีสันให้กับชีวิตบ้างเหมือนกันซึ่ง JH16 ช่วยเติมเต็มตรงนี้ให้ได้ เจ้าตัวน้อยนี้ไม่เลือกเครื่องเล่นเมื่อลองฟังจากเครื่องเล่นหลายๆ ตัวก็ขับออกได้ไม่ยากส่วนว่าจะใช้เครื่องเล่นตัวนี้เล่นแล้วโอเคในตอนนี้ SONY X กับ iPod Classic ค่อนข้างจะฟังดีกว่าตัวอื่น แต่ว่าตอนนี้มีความรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วแม้ว่าอายุจะไม่ได้มากเท่าไหร่แต่พักหลังมานี้เริ่มมีรู้สึกแบบนี้จริงๆ ตอนนี้ไม่ค่อยต้องการเพิ่มสีสันให้กับชีวิตมากนักอยากหา"ของจริง"และสิ่งที่"พอดี"ให้กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในแต่ละวัน เท่านี้ชีวิตก็รู้สึกว่าลงตัวแล้วแหละ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ











ขอบ่นหน่อยนะจะอ่านข้ามไปก็ได้นะครับเพราะค่อนข้างไร้สาระ:

ตอนนี้นั่งดูหนังชีวิตทางทีวีแล้วรู้สึกสะท้อนใจเพราะว่าคนไทยเริ่มรักกันน้อยลง อาจจะพูดได้ว่าความรู้สึก"เอาใจเขามาใส่ใจเรา"หมดไป ต่างฝ่ายต่างก็มองในมุมของตนเท่านั้นเองดูๆ ไปแล้วก็อนาถใจ ยิ่งอ่านตามเวปบอร์ดยิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวไปใหญ่นึกในใจทำไมไม่ลองคิดแบบง่ายๆ กันดูบ้างหนอ ลองนึกว่าเราใส่ชุด war gear ไปยืนตากแดดดูหรือไม่ก็นึกว่าเอาพลาสติกปูพื้นรองนั่งบนพื้นถนนร้อนๆ รอเค้าเดินมายิงว่าจะรู้สึกยังไง "เอาใจเขามาใส่ใจเราพี่น้อง" อย่าเอาอารมณ์ทีเกิดจากความเดือดร้อนและไม่สะดวกมาเป็นตัวเร่งให้ต้องระบายอารมณ์ใส่กันเพราะจริงๆ แล้วเป็นเรื่องของคนไม่กี่คนเองที่ทำให้ป่วนไปหมดทั้งประเทศ

"รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เป็นคำพูดที่เรามักจะได้ยินอยู่เป็นประจำ ไม่ทราบว่าเคยถามบ้างไหมว่าแล้วต้อง"รู้อะไรบ้างล่ะ?" ว่ากันว่าหนึ่งต้องรู้กำลังพล สองรู้กำลังอาวุธ สาม(สำคัญที่สุด)จะช่วยย่นระยะเวลาในการรบให้สั้นลงได้ก็คือต้องรู้"จุดประสงค์ในการรบ"ของฝ่ายตรงข้าม ถ้าฝ่ายตรงข้ามรบเพราะอดอยากในทางการทหารวิธีจัดการให้เร็วก็คือต้องตัดสะเบียงซะแล้วก็เข้าโจมตีแต่....จะดีกว่ามั้ยถ้าจะเปลี่ยนมุมมองนิดนึงคือไปทำให้เค้าอิ่มแทนเพราะถ้าทำแบบนี้อาจจะได้"พวก"เพิ่มขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้ต้องไปรบเลย บางทีที่น่าแปลกก็คือบางทีคนเรานอกจากไม่ไปช่วยให้เค้าอิ่มทั้งๆ ที่ทำได้แล้วยังด่าคนที่เอาของกินไปให้มีบ่นแถมอีกว่า"ทำไมถึงไม่รักเราบ้างอ่ะ" จะให้รักเข้าไปได้ยังไงคุณไม่เคยแสดงความจริงใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้เลยทั้้งๆ ที่มีโอกาสทำได้ตั้งเยอะแต่ก็ยังเลือกจะ"โทษคนอื่น"แทน"แก้ไขปรับปรุงทีท่าของตน" ผมว่านะต้องรู้จักให้ก่อนแล้วถึงจะได้พวก ในที่นี้"ให้ความจริงใจแก่กันและกัน"สำคัญที่สุด

ตอนนี้ของอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมดแต่คนก็ยังไม่รู้สึกอะไรกันน่าจะต้องปรับปรุงระบบความคิดของคนในประเทศแล้วละมั๊งเนี่ย(ส่วนตัวได้เริ่มทำบ้างแล้วตามหน้าที่ของตัวเองเพราะว่าก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเช่นกัน อีกอย่างเริ่มรู้สึกว่าบ่นไปก็ไม่ได้อะไร) คนมาอยู่บนถนนแทนที่จะอยู่บ้าน ทหารก็เข้ามาในเมืองแทนที่จะไปปกป้องชายแดนหรือจังหวัดที่มีปัญหา แถมมีการดูถูกความคิดชาวบ้านอีกตรงนี้ขอร้องเถอะครับชาวบ้านหลายๆ คนที่ผมได้ไปเจอมามีความรู้และ"คิดได้ลึกและรอบ"มากกว่านัก copy n develope ที่มีดีกรีเยอะเลย

ลุงคนนึงบอกผมว่าเรื่องในโลกนี้มีอยู่สี่เรื่องเท่านั้นเองคือ "เรื่องของกู เรื่องของมึง เรื่องของมัน และเรื่องของใครไม่รู้" เราปรับที่คนอื่นไม่ได้แต่เราปรับที่ตัวเราได้ มีสามีคนนึงถูกภรรยาด่าเพราะว่าหงุดหงิดมาจากที่ทำงาน ถามว่าในกรณีนี้สามีควรทำอย่างไรก็ต้องตอบว่าสามีควรจะเงียบให้ภรรยาได้พูดยอมเป็นฝ่ายรับที่อยู่นิ่งๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ถ้าถามว่าใครผิดก็บอกว่ามีส่วนผิดทั้งสองคนแหละทั้งสามีและก็ภรรยา ภรรยาก็ผิดที่ใช้อารมณ์มาลงใส่สามีโดยที่เค้ายังไม่ได้ทำอะไรให้กระทบกระเทือนใจ ส่วนสามีก็ผิดถามว่าผิดตรงไหนก็ผิดตรงที่ "ตาไม่ถึงไปเลือกคนแบบนี้เป็นภรรยา" แต่ผิดก็คือผิดไม่ใช่ชั่วเพราะคำว่าชั่วคือรู้ว่าผิดแต่ก็ตั้งใจจะทำให้มันผิดและบนโลกนี้ทุกคนมีโอกาสผิดกันได้แต่จะยอมรับผิดหรือเปล่านี่เป็นอีกเรื่องนึง การที่จะ"ยอมรับชะตากรรมของตนด้วยความเข้าใจแล้วมาแก้ที่ตัวเรา"มีประโยชน์และมีความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหามากกว่าจะแก้ที่คนอื่น (ขอบคุณพี่ตุ้ย redbook ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ได้คิดอะไรเยอะเลยหลังจากที่ได้รู้)

MJ บอกว่า "I'm Starting With The Man In The Mirror" ปัญหาทุกปัญหาแก้ได้โดยเริ่มที่ตัวเรา..

Bel Canto E.One Dac 3 the review


Bel canto แปลว่า Beautiful Singing

Spec :
Frequency response: 20Hz–20kHz, ±0.5dB (CD data).
THD+N: <0.0005%, color="teal" style=" ">System ที่ใช้ :
CD : C.E.C. 3300R
สาย Digital RCA: Kimber Kable ADGL
สายสัญญาณ : Homegrown Silver Lace
Amp : Darkvoice 332 [Mod] เปลี่ยนขั้ว input RCA เป็น WBT 0210CU พร้อมทั้งใช้สายเงินเดินภายในแทนขอเดิมจากเมืองจีน, ขั้ว IEC เป็นของ Furutech ,หลอดเดิมเปลี่ยนเป็น Ulyanov 6C19 และ Mullard M8100
แหล่งจ่ายไฟ : สายไฟ Kimber PK1, กับสาย DIY เองอีกสองสามเส้นหัวท้ายเป็นของ Wattgate ต่อผ่าน Clef Audio Powerbridge 6 ซึ่งเปลี่ยนตัวรับเป็น Furutech กับอีกชุดนึงต่อผ่าน Isolated Transformer ที่พี่ MAXXX77 สั่งทำให้



การออกแบบ : สั้นๆ คือเรียบหรูดูดี หน้าปัดอลูมินั่มหนาปึ้กมีแกะชื่อยี่ห้อ BEL CANTO ฝังเข้าไปในเนื้อโลหะพร้อมจอแสดงผลขนาดใหญ่ แต่ว่าหน้าจอที่ให้มานี้แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากบอกให้รู้ว่า Volume เร่งไว้ที่เท่าไหร่ scale จาก 0-100 และก็ใช้ดูเวลาจะเลือก input จริงๆ ผมว่าแค่นี้ก็โอแล้วนะ หุหุหุ พร้อมปุ่มกดแบบ JOG ที่ใช้งานสะดวกดีครับ สามารถกดเข้าโหมด Stand by ได้โดยตรงและเร่งลด Volume ได้ด้วยเนื่องจากเจ้าตัวนี้ออกแบบทำมาเป็นปรีได้อีกอย่างนึง เลือกโหมดการทำงานได้สองโหมดคือ Fix กับ Variable หากใครจะใช้เป็นปรีด้วยก็เลือกเป็น Variable เลือกปรับความดังค่อยได้ตามสะดวกแต่ลองสลับระหว่างสองโหมดแบบ Fix ให้เสียงที่เต็มกว่าครับ อ้อ มีแถมรีโมทมาให้ด้วยสามารถกด mute ได้จากรีโมทซึ่งมีปุ่มกดไม่เยอะใช้งานง่ายมาก



ขัวต่อ Input และ Outout หลังเครื่องมีมาให้ครบครันเลยทีเดียวไล่ตั้งแต่ USB และขั้วต่อDigital แบบ (XLR), S/PDIF (BNC, RCA, TosLink) โดยใช้ขั้วต่ออย่างดีเคลือบทองมาให้ทั้งหมด แถมขั้วต่อ S/PDIF แบบ RCA และ BNC นั้นผ่าน Isolated transformer ด้วยเพื่อความบริสุทธิ์ของสัญญาณขาเข้า ส่วน USB input ก็ผ่านการตัดสัญญาณรบกวนขาเข้าที่เกิดจากกราวด์ของคอมก่อนเข้าไปในวงจร D to A

Chip DAC ที่ใช้เป็นหัวใจอยู่ภายในเป็นของ Burrbrown PCM1792 ซึ่งเท่าที่ทราบตัวนี้ก็ดีที่สุดของ Burrbrown แล้วครับ

ความประทับใจแรก: เจ้า DAC3 นี้งานการประกอบเนี้ยบมากและทำออกมาได้แน่นหนาอลังการดี น้ำหนักของเครื่องก็ 6.4 กก. ยังไม่เคยได้ครอบครอง DAC ที่เนี้ยบและหนักขนาดนี้มาก่อนในชีวิต สวยมากครับเวลาเอามาวางในชั้นคู่กับแอมป์หลอดยิ่งหากได้เข้าชุดกับแอมป์ของเค้าเองด้วยนี่ผมว่าสุดยอดแต่ว่าคงต้องขายบ้านเอาตังค์ไปซื้อ หุหุหุ

มิติและเวทีเสียง : อยากจะนำมาพูดก่อนเพราะว่าทำผมอึ้งเลยเมื่อได้ฟังเสียงจากเจ้าตัวนี้ในครั้งแรก เค้าให้เวทีเสียงที่กว้างและโปร่งมากครับ ช่องอากาศระหว่างตัวโน๊ตมีเหลือเฟือ เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นไม่มีบดบังกัน เสียงที่ได้ยินโอบล้อมเป็น 3 มิติดีมากๆ ย้ำมากๆ ตำแหน่งซ้ายขวาหน้าหลังทำได้ดีครับ [ CDs : May black ชุด No Frontier, The Weavers reunion at Carnegie Hall 1963, Sheffield jazz experience ]

ความเป็นดนตรี : เสียงที่ออกมาจาก DAC3 นี่ผมว่าทำได้ใกล้เคียงกับ Analog ครับ เนื่องจากผมใช้แผ่นเสียงมาก่อนและมีความประทับใจกับมันมากแต่ด้วยความสะดวกและเหตุผลอีกหลายประการทำให้ต้องเลิกไป แต่ DAC ตัวนี้ให้เสียงได้ใกล้เคียงกับแหล่งโปรแกรมเดิมของผมสมัยหนุ่มๆ ฟังแล้วกระชุ่มกระชวยหัวใจดีครับเหมือนได้ดูหนังเรื่องแฟนฉันแล้วนึกถึงสมัยที่ไปจีบสาวคนแรก หุหุหุ
เสียงที่ออกมาจากการฟังสลับกันระหว่าง USB กับขั้วต่อ Coax จาก CD ในเพลงเดียวกันความแตกต่างที่ฟังออกเลยคือเมื่อต่อแบบ USB เสียงกลางที่ได้จะแห้งไปนิดนึงส่วนจาก Coax นี่ให้เสียงที่อบอุ่นและสดชื่นกว่าเล็กน้อยแต่ไม่ได้ห่างกันมากนะครับถือว่าทำได้ดีทั้งคู่ เมื่อฟังจาก CD เหมือนกว่านักร้องจะเดินเข้ามาหาเราใกล้อีกหน่อย USB จะถอยหลังออกไปนิดนึง มิติหน้าหลัง CD เหนือกว่าเล็กน้อยเช่นกัน ตำแหน่งของเครื่องดนตรีนิ่งมากจากการต่อทั้งสองแบบ [ CDs : The Weavers reunion at Carnegie Hall 1963, Grease original soundtrack, Sounds of Wood&Steel, Sheffield jazz experience, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc, Dire stratis : Brother in arm, Queen : the gretest hits,ไฟล์ Alison Krauss : Lonely runs both ways , Boydpod, Israel Kamakawiwo'ole : Facing Future ]

เสียง Bass : ความถี่ต่ำเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบจังเลยเพราะว่าเค้าสามารถคืนชีวิตความถี่ต่ำให้น้องตู้ม W5000 ของผมได้ แม้ว่า W5000 จะให้เสียงความถี่ต่ำออกมาได้ไม่มากมายนัก แต่เมื่อฟังผ่าน DAC 3 แล้ว เนื้อและมวลของ bass เพิ่มขึ้นมาพอสมควรเลยทั้งในย่านต่ำลึกและย่านความถี่ต่ำในช่วงบน ความถี่ต่ำในช่วงบนอาจจะมีน้อยไปนิดแต่คงมากจากบุคลิกเสียงของ W5000 มากกว่าที่จะมาจาก DAC ครับหากได้ L3000 มาเข้าคู่น่าจะดีไปมากกว่านี้(ฝันๆๆ) [ CD: The Sheffield Jazz Experience Track7 เพลง Wishing well, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc, ไฟล์ Step up(OST), Step up2 the street(OST) ]



เสียงกลาง : ธรรมชาติฉ่ำและสดครับผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี หุหุหุ W5000 ให้เสียงกลางออกมาได้ค่อนข้างหวานอยู่แล้วเมื่อต่อผ่าน DAC3 ความหวานที่มีอยู่นี่ไม่ได้ลดน้อยลงเลยครับแถมเติมความฉ่ำในเนื้อเสียงให้อีกคล้ายกับว่าเมื่อฟังเสียงนักร้องสาวน้อย(อายุเยอะ)ผ่านเจ้าตัวนี้แล้วทำให้น้ากลายมาเป็นพี่อะไรแบบนี้แหละครับ แต่เป็นพี่ที่ใจดีนะเพราะฟังแล้วอบอุ่นมาก [ CD : Rebecca Pidgeon, Tuxedo cowboy : Woman of the heart, Clair marlo : Let it go, File MP3 Alison krauss ชุด Lonely Runs both ways ] Rolling Eyes

เสียงสูง : DAC3 ให้เสียงแหลมที่พริ้วและละเอียดดีตรงนี้แหละที่ทำให้ผมนึกถึงแผ่นเสียง แหลมที่ได้ไม่เหมือนเสียงแหลมแบบ digital ครับใครเคยใช้แผ่นเสียงจะรู้ดีว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร เสียงกระดิ่งนี่กังวานแถมด้วยหางเสียงที่ลากได้ยาวสุดจิตเช่นเสียงกีตาร์จากเพลง acoustic หลายๆ เพลงตอนที่จบเพลงแล้วมีเสียง resonance ของสายที่ถูกดีดทิ้งไว้นี่เหมือนจริงมากครับเพราะมีการสวิงขึ้นลงของเสียงไม่ได้ลากยาวแต่เป็นเส้นตรงเหมือนที่เคยได้ยิน [ CD : Sound of Wood and Steel, Sheffield jazz experience, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc ]

Dynamic : ฉับไวดีครับแม้ว่าผมจะฟังจากแอมป์หลอดซึ่งเมื่อเทียบกับแอมป์แบบ Solid state แล้ว Dynamic จะสู้ไม่ได้แต่ด้วยพละกำลังที่เหลือเฟือของเจ้า Darkvoice 332 และการตอบสนองความถี่ที่ฉับไวของ DAC3 ทำให้ฟังเพลง Classic ในช่วง Overture เพลง Rock หรือแม้แต่ Rap ได้อย่างสนุกสนานและอินไปกับช่วงที่เน้นความต่างระหว่างระดับเสียงที่เบาและดังได้ไม่ยาก [ CD : Greenday :Dookie, Technotronics : The greatest hits, Sheffield jazz experience, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc, Vanilla Ice : Mind Blowin ]



รายละเอียด : เมื่อเทียบกับ External Soundcard เดิมของผมคือ Creative Audigy 2NX นี่ไม่ต้องพูดถึงครับผม อะไรที่ไม่เคยได้ยินก็ทำให้ได้ยิน ที่ได้ยินอยู่แล้วก็ชัดเจนมากขึ้นทำให้รู้เลยว่าแผ่นและ file ที่เล่นผ่านเจ้าตัวนี้นั้นระหว่างที่บันทึกจากการแสดงสดและจากการ mix down เสียงต่างๆ ที่ Sound engineer บรรจงใส่เข้าไปนั้นมีความดังค่อยอยู่หลายระดับ ไม่เหมือนกับที่เคยได้ยินผ่าน Soundcard ตัวเดิม ไม่ใช่ว่าตัวเดิมไม่ดีนะครับผมพอใจกับมันมากในระดับนึงเลยทีเดียวแต่ว่าเจ้า DAC3 ทำได้ดีกว่าแค่นั้นเองเพราะทำให้รายละเอียดของเสียงต่างๆ ในเพลงนั้นมันมีชีวิตไม่แบนเป็น 2 มิติทำให้ฟังแล้วมีชีวิตชีวา [ CD : K-ci&jojo เพลง All my life, Sheffield Jazz experience, Rebecca Pidgeon, Tuxedo cowboy : Woman of the heart, Clair marlo : Let it go, File MP3 Alison krauss ชุด Lonely Runs both ways ]

ความคุ้มค่า : ผมซื้อมือสองที่ใหม่กิ๊กมาครับขั้วต่อและสภาพเครื่องไม่มีริ้วรอยอะไรเลย สอบถามแล้วเจ้าของเดิมบอกว่าเค้าซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้พอต้องย้ายงานไปอีกเมืองจึงจำต้องปล่อยออกมา อาจเป็นเพราะความหนักของเจ้าตัวนี้ก็เป็นได้ หุหุหุ เสียงที่ได้จาก DAC3 นี่เมื่อเทียบกับเงินที่ผมจ่ายไปถือว่าคุ้มมากเพราะว่าเหมือนได้ system ใหม่มาอีกชุดนึงเลยก็ว่าได้ เพราะ DAC ตัวนี้ทำให้ Darkvoice 332 และน้องตู้ม W5000 ของผมแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่



สรุป : จากความตั้งใจเดิมที่จะซื้อ Apogee minidac เพราะติดใจในสไตล์เสียงของ Apogee ที่เหมือนกับ Analog แต่พอจะสั่งก็เจอเจ้าตัวนี้ออกมาขายเลยกัดฟันจ่ายไปจะได้ลงทุนทีเดียวเนื่องจากว่าคงจะไม่เปลี่ยนชุดที่ใช้อยู่ไปอีกนาน ผลที่ได้นั้นสามารถเติมเต็มความต้องการของผมได้เกินกว่าที่คิดไว้ครับ คือได้ DAC ตัวนึงที่ฟังแล้วไม่เหมือนกับฟังเสียงจากแหล่งโปรแกรม Digital มากนักด้วยเสียงทุ้มที่นุ่มลึก เสียงกลางที่อบอุ่นสดฉ่ำเป็นธรรมชาติ แหลมที่พริ้วละเอียดกังวาน รายละเอียดและมิติที่โอบล้อมเป็นสามมิติ ความกว้างมากของเวทีเสียงรวมถึงความรู้สึกสดชื่นที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้ฟังเสียงจากเจ้า Bel canto DAC3 ตัวนี้

"ไม่สำคัญว่าชุดฟังเพลงของท่านจะแพงหรือว่าถูก ไทยทำหรือของนอก DIYหรือเหมาจ่ายมา ขอเพียงแต่ว่ามันให้ความสุขแก่เราได้ให้เสียงในแบบที่เราชอบ พอฟังแล้วก็รู้สึกดีผ่อนคลายและสดชื่นโดยไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น" ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับผม

เวปไซท์ที่เกี่ยวข้อง: http://stereophile.com/digitalprocessors/1107bc/

[ย้อนอายุกับรีวิวเอียงๆ]High School Musical 3


ผู้กำกับ: Kenny Ortega
นักแสดง: Zac Efron, Vanessa Hudgens, Ashley Tisdale, Lucas Grabeel, Corbin Bleu, Monique Coleman, Olesya Rulin
ออกแบบท่าเต้น: Kenny Ortega, Charles Klapow, Bonnie Story

กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมากมาแล้วคุณพ่อได้พาไปดูหนังเรื่องนึงที่จำได้ว่าหลังจากดูจบแล้วก็รบเร้าให้ท่านหาแผ่นเสียงมาเปิดให้ฟังเพราะชอบเพลงๆนึงมากชื่อเพลงว่า You're the one that I want ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้ในฉากเต้นรำตอนปิดเรื่องภาพที่พระเอกนางเอกและตัวละครทุกตัวเต้นกันอย่างพร้อมเพรียงไปตามเสียงเพลงๆนี้ช่างติดตาตรึงใจเสียนี่กระไร นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานี่หากมีหนังเพลงเรื่องไหนเข้าโรงก็จะไม่ยอมพลาดหากไม่ได้ดูในโรงก็ต้องไปไล่ล่าตามหามาดูให้ได้ อ่อ เกือบลืมหนังเรื่องที่ว่านี้ชื่อเรื่องว่า Grease[1978] นำแสดงโดย John Travolta กับนางเอกสาวน้อยน่ารัก(ในตอนนั้น)ชาวออสซี่ Olivia Newton-John

หนังเพลงหรือที่เรียกกันว่า Musical นั้นมักจะโดนตากรรมการตัดสินรางวัล Academy award หรือ Oscar อยู่เป็นประจำ หลายต่อหลายเรื่องก็ได้รางวัลใหญ่กันถ้วนหน้าเพราะว่าโปรดักชั่นและความทุ่มเทของนักแสดงต้องมีมากกว่าภาพยนตร์ปกติหลายต่อหลายเท่าคือนอกจากนักแสดงต้องแสดงอารมณ์ให้สมจริงเข้ากับเนื้อเรื่องแล้วยังต้องร้องและเต้นไปตามเสียงเพลงที่ใช้ประกอบกันไปด้วยซึ่งในความเห็นส่วนตัวของผมมันเป็นเรื่องทียากมาก

ช่วงหลังๆมานี้หลังเพลงที่ออกมาให้ได้ดูได้ชมกับในโรงภาพยนตร์หรือแม้แต่ทางทีวีเริ่มมีมากขึ้นหนึ่งในนั้นเป็นหนังที่ทำออกมาฉายทางทีวีช่อง Disney's channel ชื่อเรื่องว่า High School Musical ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของเรื่องก็เป็นเด็กๆรุ่นที่กำลังจะโตหรือที่เรียกว่า Teenage เป็นหลัก สำหรับเรื่องนี้ผมได้ดูในเครื่องบินของสายการบินไทยเส้นทางระหว่าง.. เอ..แล้วจะบอกไปทำไมเนี่ย หลังจากดูจบแล้วความรู้สึกแรกก็คือว่ามันสดชื่นครับพี่น้องเหมือนได้กินยาลดอายุ หุหุ ก็มันหนังเด็กนี่ครับซึ่งธรรมดาก็ไม่ค่อยได้ดูนักหรอก หากพูดถึงบทก็ขอบอกว่าหลวมมากถึงมากที่สุด(ก็หนังเด็กนิจะเอาไรนักหนา) แต่ที่โดนใจก็คือความตั้งใจของนักแสดงและทีมงานที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ประณีตมากโดยเฉพาะในส่วนของการเต้นของ Series HSM ทั้งสามภาค(2006, 2007,2008 )ต้องขอชม Kenny Ortega, Charles Klapow, Bonnie Story ผู้ออกแบบท่าเต้นหรือที่เรียกว่า choreographer สำหรับ Kenny Ortega ผู้กำกับที่หากใครได้ดูภาพเบื้องหลังจะพบว่านาย Ortega นี้เต้นได้แบบว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวสมแล้วที่นำทีมผู้ออกแบบท่าเต้น ท่าเต้นทุกชุดใน HSM ทุกภาคโดยเฉพาะภาคสุดท้ายดูมีเสน่ห์ดีแม้จะเป็น Step ง่ายๆก็ตาม

ในส่วนของนักแสดงที่แจ้งเกิดกันถ้วนหน้าไล่ตั้งแต่คู่พระเอกนางเอกทั้งในจอและนอกจอนายศักดิ์กับน้องวาสนา Zac Efron&Vanessa Hudgens ที่ถือว่าเสียงดีทั้งคู่โดยเฉพาะน้องวาสนาที่อัลบั้มเดี่ยวของเธอก็ขายได้เยอะเหมือนกันแม้จะมีภาพหลุดออกมาว่อนเน็ตจนเกือบทำให้ต้นสังกัดคือ Disney ดองไว้โชคดีที่ออกมาขอโทษแฟนๆรุ่นเยาว์และสมาคมผู้ปกครองของเด็กๆได้ทันเวลา(นี่แหละน้าไม่คิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป), คู่ฝาแฝดตัวรองที่หลายฉากเด่นกว่าพระเอกนางเอกเสียอีกคือ Ashley Tisdale กับ Lucas Grabeel และผู้แสดงสมทบที่ทั้งร้องและเต้นได้ดีทุกคน

สำหรับตอนล่าสุดซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของ Series นี้ที่ออกมาฉายในโรงภาพยนตร์ก็ทำรายได้ดีมากพอสมควรโดยเปิดตัวเป็นอันดับหนึ่งในตาราง Box office ของอเมริกาเป็นตัวยืนยันความดังของ HSM ได้เป็นอย่างดี ทีแรกที่มี Soundtrack ปล่อยออกมาขายพอได้ฟังแล้วผมรู้สึกผิดหวังอยู่พอสมควรเพราะว่าเพลงฟังดูหลากหลายมากเกินไปไม่เหมือนสองตอนแรกที่ Theme ค่อนข้างชัดแต่พอได้ดูหนังแล้วทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดไปเลยเหมือนกัน ขอบอกว่า Ortega และทีมงานทำ HSM3 ออกมาแบบว่าขอทิ้งทวนกันเลยทีเดียวเพลงทุกเพลงที่อัดกันลงไปทั้งการร้องและเต้นของนักแสดงที่ทำได้เจ๋งมากโดยเฉพาะ Step ของเพลงปิดเรื่องที่มีชื่อเพลงว่า High School Musical และอีกเพลงที่ภาพยังติดตาผมอยู่ก็คือเพลง Can I have this dance ที่นายศักดิ์และน้องวาสนาร่อน Waltz กันบนดาดฟ้้าโรงเรียน กลิ่นอายของสองตอนแรกยังมีแทรกอยู่ให้แฟนขาประจำได้ระลึกถึงในหลายต่อหลายฉาก



ในส่วนของบทภาพยนตร์ก็เริ่มต้นได้ดีครับมีเฉื่อยตอนกลางเรื่องนิดหน่อยเหมือนว่าคนเขียนบทกำลังหารันเวย์ลงยังไงยังงั้นแต่พอเจอรันเวย์แล้วก็ร่อนลงได้อย่างสวยงาม ความรู้สึกสุดท้ายหลังจากดูจบแล้วนี่ส่วนตัวก็ขอบอกว่ารู้สึกเหมือนย้อนกลับไปดู Grease ในครั้งแรกซึ่งในตอนโน้นฟังไม่รู้หรอกว่าเพลงมันร้องว่ายังไงแต่ได้ความอิ่มใจและสดชื่นหลังจากดูจบ แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้ให้อะไรมากนักแต่เราจะต้องการอะไรไปมากกว่าความบันเทิงล่ะสำหรับหนังเด็กๆแบบนี้ ขอแค่ได้ความอิ่มใจและความสดชื่นกลับมาทำให้มีแรงทำงานต่อไปอีกอาทิตย์ก็โอเคแล้ว



จริงๆ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการเลือกมุมกล้องสำหรับหนังเพลงรุ่นใหม่ เค้าเลือกแสง สี และองค์ประกอบในกรอบภาพได้ลงตัวดีจริงๆ แสดงว่าทีมเขียน Story board ทีมออกแบบท่าเต้น ผู้กำกับภาพ ทีมสร้าง Prop หา Costume ได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี รวมไปถึงนักแสดงและนักเต้นทุกคนซึ่งถ้าได้ดูเบื้องหลังการถ่ายทำแล้วจะรู้ว่าเด็กๆ เหล่านี้ซ้อมกันอย่างหนักมากกว่าจะออกมาเป็นหนังเล็กๆ ดูง่ายๆ นี้ ทำให้รู้สึกว่าหนังที่ดีไม่จำเป็นต้องได้ดาราระดับพันล้านหรือว่าเอฟเฟคแบบสุดยอด ขอเพียงทีมงานที่ตั้งใจทำกันงานจริงๆ ตั้งใจซ้อมกันจริงๆ หนังเล็กๆ ก็ออกมาดีได้เหมือนกันเช่นเดียวกับหนังดีๆ อีกหลายเรื่องที่คนมองข้ามไป



เห็นพูดถึง Kenny Ortega เยอะหลายๆ คนคงสงสัยว่าหมอนี่เป็นใครกันหนอ Kenny Ortega เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหนังเต้นหลายๆ เรื่องเช่น Dirty Dancing, Xanadu, Salsa และก็ St. Elmo's Fire เค้าได้รางวัลชนะเลิศจากหลายสถาบันเช่น American Choreography Award, Emmy award etc. อีกทั้งได้ชื่อว่าเป็นคนสเปนที่ถือว่าทรงอิทธิพลที่สุดคนนึงในวงการบันเทิงอีกด้วย ได้ช่วยให้ศิลปินชื่อดังหลายต่อหลายท่านฉายแสงได้อย่างเจิดจ้าบนเวทีแสดงสดเช่น MJ, Madonna, Gloria Estefan และ Cher เป็นต้น อีกทั้งเป็นคนกำกับงานสดุดีเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของ MJ ที่มีแฟนๆ เข้าไปร่วมงานไว้อาลัยให้กับ MJ เป็นจำนวนมากที่ L.A. อีกด้วย ดังนั้นการที่คนนี้มากำกับหนังเล็กๆ เรื่องนึงก็สามารถจะทำให้หนังเด็กธรรมดาที่ออกอากาศทาง Disney Channel จะเข้าวินใน Box office ของอเมริกาได้ในสัปดาห์แรกที่ออกฉายในโรงทั่วอเมริกาเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา



Kenny's personal Quotes:
"If you didn't understand how to design your choreography for the camera, then you were shortchanging yourself and would never come to fully realize your worth. It would have meant very little if I hadn't come to understand technically how to put the work up."

"There's an old Fred Astaire movie where the stage becomes bigger and deeper and more complex. Moments like that really did impact on me and influence me. I want to bring a little of that to High School Musical 3 - that the whole world is a stage"

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ Rolling Eyes

[Review] JH 13 Pro ในทรรศนะของข้าพเจ้า


เกริ่น:

กว่าจะได้เจ้านี่มาครอบครองนี่ใช้เวลารอนานมากๆผ่านอุปสรรคต่างๆทั้งคนประสานงานที่ต้องออกเดินทางไปที่โน่นนี่เรื่อยและก็คนรับ order ที่กว่าจะตอบอีเมลได้แต่ละที หลังจากที่ตามทวงอยู่สามครั้งคิดว่าคงจะพอได้แล้วในการตามจี้เพราะว่าคงไม่ได้มีผลอะไรเลยหลบมาก็นั่งรอของอยู่เงียบๆดีกว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียเวลาและอารมณ์เพราะมีเรื่องอื่นที่่สำคัญกว่าให้ต้องคิดดีกว่าไปติดกับเรื่องแบบนี้ ได้แต่นึกในใจว่าส่งของออกมาเมื่อไหร่ก็คงจะได้ของเมื่อนั้น

บอกตามตรงว่าผมไม่พยายามอ่านรีวิวแบบตั้งอกตั้งใจทั้งในเห็ดไฟและที่นี่เพราะว่าไม่อยากให้มีอะไรมาเป็นฐานข้อมูลก่อนในเบื้องต้นเนื่องจากอยากจะได้ 1st impression ตามความเห็นของตัวเองจริงๆซึ่งก็ได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เจ้าหูฟังตัวนี้ก็ผ่านการเบิร์นไประยะหนึ่งแล้วคิดว่าคงจะถึงเวลามาเล่าให้พี่ๆน้องๆอ่านกันซักที บอกไว้ก่อนว่าข้อเขียนด้านล่างนี้เป็นเพียงความเห็นของคนธรรมดาคนหนึ่งอาจจะมีอคติเจืออยู่ได้ดังนั้นพิจารณาก่อนอ่านนะครับ


Spec:

Proprietary precision-balanced armatures
Dual Low, dual mid, dual high (6 drivers)
Integrated 3-way crossover
Noise Isolation: -26dB
Input Connector: 1/8"(3.5mm), gold plated
Frequency Response: 10Hz to 20kHz
Input Sensitivity: 119dB @ 1mW
Impedance: 28 Ohms


อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:

-iPod Classic 160G
-iPhone 3Gs
-iMac
-tc konnekt8 audio interface
-bel canto DAC3
-BOSE Com3II


การออกแบบ การสวมใส่และคุณภาพของชิ้นงาน:

การออกแบบก็คงคล้ายๆกับหูฟัง Custom ทั่วไปคือใช้แบบพิมพ์หูของเราที่เรียกกันว่า ears impression ไปทำเป็น shell ของตัว monitors เพื่อให้การสวมใส่เป็นไปได้อย่างพอดีกับช่องหูของเจ้าของแต่ละท่านพอได้ของมาก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีครับใส่ได้พอดีกับหูแต่ว่าของผมตำแหน่งของขั้วสายทางด้านซ้ายทำมาผิดมุมไปนิดเลยต้องเอาตะไบขัดเล็บมาขัดแต่งเองหน่อยนึงเพื่อให้ใส่แล้วจะไม่กัดใบหู





ชิ้นงานทำได้ไม่ค่อยดีนักมีฟองอากาศให้เห็นอยู่เยอะเหมือนกันเนื่องจากว่าเลือกสีของ shell ค่อนข้างใสนิดนึงเลยเห็นค่อนข้างชัด เมื่อเทียบชิ้นงานกับทาง UE ซึ่งก็มีโอกาสได้เป็นเจ้าของเช่นเดียวกันพบว่างานของ UE ดีกว่าพอสมควร ขนาดของ shell ที่ UE ทำออกมาหนากว่า(ดูได้จากรูป)ซึ่งดูๆไปก็ไม่น่ามีผลอะไรเนื่องจากในช่องหูก็ขนาดเท่ากันแต่ขอบอกว่ามีผลในการเอาหูฟังออกจากช่องหูของ UE ค่อนข้างจับได้ถนัดมือมากกว่าทำให้เอาเข้าออกได้ง่ายมากส่วนของ JH ก็เอาออกลำบากนิดหน่อย เรื่องของชิ้นงานนี่ทาง JH สมควรจะเอาไปพิจารณาปรับปรุงถ้ายังคิดว่าจะต้องการเป็นคู่แข่งขันของ UE ในตลาด IEM แบบ Custom เพราะว่าเรื่องของชิ้นงาน artwork และสีของ shell มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าว่าจะสั่งหรือไม่สั่งเพราะว่าเป็นหูแบบ Custom ดังนั้นลูกค้ามักจะเลือกสีและแบบตามที่ตัวเองต้องการอย่างแน่นอน

JH13 มีกล่องใส่มาให้ซึ่งก็ออกแบบมาค่อนข้างบอบบางไปนิดนึงเป็นพลาสติคเกรดค่อนข้างดี มีช่องให้เอา player หรือว่าเครื่องส่งใส่ลงไปไว้ได้ด้วยเพื่อความสะดวกตอนเดินทางไปตามเมืองต่างๆตามปกติของหูฟังสำหรับนักดนตรีและ monitor engineer คนคุมเสียงของวงรวมไปถึงนักฟังที่เลือกใช้สินค้าของเค้าด้วย


สำหรับกล่องใส่ถ้าดูกันจากช้ินงานแล้วละก็ของ UE ดูดีมีคลาสกว่าเยอะเลยเพราะทำขึ้นมาจากโลหะ


ความประทับใจแรก:

หลังจากที่ได้ของมาก็ยังไม่ได้ฟังเลยในทันทีได้เปิดทิ้งไว้พักนึงก่อนเพื่อให้ driver ได้ขยับตัวบ้างก่อนที่จะรับฟังในเบื้องต้นพอใส่เข้าไปในหูก็พบว่ารายละเอียดไหลมาแบบพรั่งพรูให้ได้ยินครบทุกเม็ดไม่มีตกหล่นเลยถือว่าเป็นข้อเด่นของเค้าเมื่อได้ฟังในครั้งแรกคล้ายๆกับที่จับเจ้า UE11 มาใส่แล้วก็ได้ยินเสียงเบสนำมาแบบนั้นซึ่งก็ถือว่าได้ความประทับใจแรกไปคนละแบบ


เสียงต่ำ:

เรื่องนี้มีคนถามไถ่กันมากันเยอะเลยครับว่าเทียบกับ UE11 แล้ว JH13 มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ก็ขอบอกตรงนี้เลยครับว่าใครที่เป็น basshead แล้วละก็ตัด JH13 ออกจาก list ของท่านไปได้เลยถ้าคิดจะซื้อหูฟังแบบ custom มาใช้ ไม่ใช่ว่าคุณภาพความถี่ต่ำที่ JH13 นำเสนอออกมาไม่ดีนะครับแต่ว่าเมื่อเทียบกับ bass monster แบบ UE11 แล้ว impact ค่อนข้างห่างกันอย่างเห็นได้ชัด

มาถึงตรงนี้อยากจะเล่าอะไรให้อ่านพอเป็นไอเดียเกี่ยวกับเรื่องของเสียงความถี่ต่ำ เป็นประสบการณ์ในยามหนุ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนสมัยทำงานอยู่ในผับคือว่าตอนทำงานคืนหนึ่งมีความรู้สึกว่าเบสไม่มันส์เลยตอนที่เปิดแผ่นอยู่ตัวเราเองก็เป็นแต่เปิดกับฟังเท่านั้นจะให้ไปปรับ Main EQ ก่อนป้อนออก power amp เพื่อขับลำโพงหลักก็ทำไม่เป็นรู้แต่เพียงว่าเบสมันลงที่หน้าแข้งไม่ขึ้นมากระแทกอกแถมแรงกระแทกก็แผ่วมากๆเหมือนมือกลองไม่ได้ทานข้าวมาสามสี่วันอะไรแบบนั้น เมื่อทราบว่าเป็นแบบนี้ก็เลยต้องโทรตามเซียนหูทองมาช่วยแก้ไขในเรื่องนี้ให้เพราะว่าเครื่องยังอยู่ในประกันของบริษัทอยู่ดังนั้นโทรตามได้เต็มที่ตลอด 24 ชั่่วโมงแต่ว่าทางโน้นจะรับสายหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง หุหุ เมื่อเซียนท่านมาถึงก็มานั่งจิบน้ำหวานฟังไปเรื่อยๆฟังเสร็จก็ลุกไปปรับแล้วก็มานั่งฟังที่เดิมตำแหน่งที่นั่งฟังก็คือหน้าแท่น mixer ซึ่งเป็น sweet spot ของที่ทำงานเพื่อการรับฟังเสียงที่สมบูรณ์มากที่สุด หลังจากที่ดูเซียนท่านฟังแล้วก็ลุกไปปรับทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงเสียงความถี่ต่ำที่อยู่แถวๆหน้าแข้งตอนนี้กลับมากระแทกอยู่ที่หน้าอกของเราได้อย่างน่าแปลกใจ

ระหว่างที่เซียนเค้าปรับเราเองก็แอบไปดูเค้าทำว่าปรับความถี่ย่านไหนอย่างไรก็พบว่าแทนที่จะไปปรับในส่วนของความถี่ต่ำก่อนแต่เซียนท่านก็ไปปรับในช่วงความถี่สูงตอนกลางๆก่อนเพื่อยกระดับให้เสียงโดยรวมกระชับมากขึ้นไม่เนือยๆแบบทีแรกซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จากการปรับตัวของดอกลำโพงเนื่องจากว่าเป็นของใหม่ใช้ได้ไม่นานจะบอกว่าอยู่ในระหว่าง burn ก็คงจะไม่ผิดจากความเป็นจริงมากนัก การปรับ EQ ของเซียนท่านจะปรับสลับระหว่างความถี่สูงกับต่ำไปเรื่อยๆเอาขึ้นลงแล้วมานั่งฟังเทียบดูความแตกต่างแล้วก็ปรับไปเรื่อยจนเป็นที่น่าพอใจก็เป็นอันเสร็จวิธีการ ไม่เพียงแต่ main EQ เท่านั้นที่มีผลกับเรื่องของความถี่ต่ำแม้แต่หนังกระเดื่องของวงดนตรีที่เล่นก็ต้องหมั่นปรับอยู่เสมอเพราะว่าถ้าตึงน้อยไปก็ทำให้เบสหายมันส์ไปได้พอสมควรเหมือนกัน

ที่เล่ามาอย่างเยิ่นเย้อก็เพียงแต่อยากจะบอกว่าเรื่องของเสียงต่ำที่ออกมาให้เราได้ยินนัั้นก็มีความถี่สูงมาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกันดังนั้นครอสโอเวอร์ที่แบ่งความถี่ให้กับ driver ในแต่ละย่านมีผลกับเสียงที่เราได้ยินทั้งหมด สำหรับ JH13 นั้นเรื่องของเสียงต่ำในช่วงกลางและสูงฟังแล้วมีน้อยกว่า UE11 แต่ว่ามันพอดีคือว่าไม่มากไม่น้อยเกินไป จะว่าไปความถี่ต่ำของ UE11 ฟังแล้วรู้สึกเหมือนว่าฟัง full size กลายๆแต่ว่าความถี่ต่ำของ JH13 เหมือนฟังจาก IEM แบบเทพๆตัวหนึ่งซึ่งตามความเห็นของผมนั้นผมว่ามีดีกันไปคนละแบบ เสียงเบสของ JH13 เร็วกระชับมีไดนามิคที่ดีมากๆส่วนเบสของ UE11 ได้ลูกหนักและแน่นแต่ว่าทั้งคู่ลงลึกได้พอๆกันจากเท่าที่ฟังมาก็ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบเสียงแบบใดเหมือนฟังเบสของ HD800 เทียบกับ L3000 โดยประมาณครับ ตอนนี้ลองเอาแผ่น touch me ของหนึ่ง จักรวาลมาเปิดฟังขอบอกว่าอัดมาดีเกินคาดงานเพลงก็ดีกว่าที่คิดเสียงต่ำเยี่ยมจริงๆใครอยากหาแผ่นมาลองเสียงความถี่ต่ำหรือว่าเพลง funk สนุกๆละก็ลองหามาฟังดูครับ





เสียงกลาง:

จากความประทับใจแรกที่ได้ฟัง JH13 นั้นนอกจากเรื่องของรายละเอียดแล้วเสียงกลางเป็นอีกส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ผมทึ่งกับหูฟัังตัวนี้ครับเพราะว่าเสียงกลางสะอาดมากหลังจากผ่านการ burn ไประยะหนึ่งเสียงเริ่มเข้าที่มากกว่าตอนที่ได้ฟังเป็นครั้งแรกเสียอีก อยากจะบอกว่าสำหรับคนที่รักเพลงร้องเป็นชีวิตจิตใจหูตัวนี้ไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอนถ้าคิดจะหามาเป็นหูฟังที่ใช้พกพาไปในที่ต่างๆ JH13 เป็นตัวเลือกอีกตัวที่ท่านควรจะพิจารณา

เสียงกลางของ JH13 เป็นธรรมชาติมากๆทั้งเรื่องของเสียงร้องเสียงเครื่องสายและเครื่องเป่าที่เริ่มตั้งแต่ย่านความถี่ช่วงกลางไปถึงสูง JH13 ให้ความรู้สึกสมจริงมากๆ โดยเฉพาะเครื่องสายที่มีคันสีเช่น cello violin viola นี่เทพจริงครับสีทีนี่รับรู้ถึงความฝืดของสายได้แบบไม่ต้องเพ่งเลย ส่วนเสียงร้องนั้นไดนามิคตอนแผดเสียงโชว์พลังของนักร้องทำเอาขนลุกรวมไปถึงเสียงเล่นกระบังลมเพื่อเรโซแนนซ์ของเสียงร้องก็มีความพร้ิวอยู่ในที

เทียบกับกลางของ UE11 แล้วเสียงของ 11 แห้งกว่าบ้างแต่ว่าได้ความถี่ต่ำในช่วงบนเข้ามาเพิ่มเลยทำให้เนื้อเสียงกลางของ UE11 ดูเหมือนกับว่านุ่มนวลกว่า JH13 แต่พอฟังแบบตั้งใจจริงๆจะพบว่าเสียงกลางของ JH13 มีความพอดีมากกว่าแม้ว่าเสียงจะติดไปทาง flat แต่ว่าเสียงกลางนั้นไม่ได้แห้งเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างที่ฟังแล้วมีความต่างกันค่อนข้างมากระหว่าง UE11 กับ JH13 คือเสียงปรบมือในเพลง gospel ตอนอารมณ์กำลังขึ้น เพลงละตินรวมไปถึงเสียงปรบมือหรือว่าเทคนิคต่างๆที่ผู้เล่นใส่เข้ามาในเพลง jazz บอกได้เลยว่ามือเป็นมือครับ เสียงปรบมือของเราเมื่อเทียบกับเสียงที่ได้ยินจาก JH13 คือเสียงเดียวกันเลยครับตรงนี้ผมทึ่งมากๆ เมื่อเทียบกับเสียงจาก UE11 พบว่า UE11 มีอมความถี่ต่ำอยู่บ้างเหมือนกับเอาผ้ามาวางบนมือเวลาปรบมือทำให้ไดนามิคของเสียงไม่ค่อยดีนัก


เสียงสูง:

JH13 มี driver ทุกย่านๆละสองตัวทำให้เสียงในแต่ละความถี่ออกมาได้อย่างเต็มที่ฟังออกได้ชัดเจนโดยที่ไม่จำเป็นต้องเร่งระดับความดังขึ้นมามากนัก ความถี่สูงเป็นจุดเด่นอีกอย่างของ JH13 นอกจากเสียงกลางที่ดีอยู่แล้วการส่งต่อมายังย่านสูงทำได้ดีไม่รู้สึกว่าขาดแต่ว่าพอจะมีการใช้ลูกเล่นในการอัดของเพลงยุคใหม่ๆหรือว่าเพลงในแนวที่ใช้เครื่องสังเคราะห์จะเด่นขึ้นมาได้เหมือนกันคือว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมีทั้งความต่อเนื่องและสามารถจะแยกเสียงขาดออกมาจากกันได้อย่างชัดเจนตรงนี้เป็นข้อดีของการมีหลาย driver ในตอนแรกที่ได้มาเสียงสูงของ JH13 กัดหูอยู่พอสมควรหลังจากผ่านการเปิดเผาในระดับเสียงที่ค่อนข้างสูงกว่าระดับการฟังปกติอยู่นิดนึงพอผ่าน 60 ชม. ไปแล้วเสียงแหลมที่กัดหูอยู่หายไปมีความเนียนและละเอียดเข้ามาแทน หางเสียงลากได้ยาวดีแต่ว่าไม่เสียดหูนะผมยังไม่เคยได้ยิน IEM ตัวไหนให้เสียงสูงที่ลากได้ยาวเท่าตัวนี้มาก่อน


รายละเอียด ความเป็นดนตรี เวทีเสียงและอื่นๆ:

JH13 ให้รายละเอียดได้ดีมากแม้ว่าจะเปิดฟังไม่ดังมากนักเม็ดดนตรีทุกเม็ดไม่มีตก จริงๆจะว่าไป IEM ให้รายละเอียดได้ค่อนข้างดีกว่าหูฟัง full size อยู่แล้วแต่เจ้าตัวนี้ทำให้ผมประทับใจกับส่วนนี้มากขึ้นไปอีก สำหรับ JH13 เสียงโดยรวมๆค่อนข้าง flat และมีความเที่ยงตรงในการนำเสนอสูงมากในความเห็นส่วนตัวแล้วผมว่าเหมาะกับ sound engineer, tour monitor หรือว่านักฟังแบบ serious listener มากกว่านักดนตรีโดยทั่วไป ผมว่า UE11 สามารถทำให้นักดนตรีมันส์ไปพร้อมกับ monitor เสียงของตัวเองและวงไปได้ในขณะเดียวกันแต่ว่าอารมณ์ของ sound engineer ไม่ใช่แบบนั้นแต่ไม่ใช่ว่า JH13 จะมันส์ไม่ได้นะครับเท่าที่ฟังมาถ้าเลือกดนตรีได้ถูกแนวกับเค้าเช่น bossanova, jazz, classical หรือแม้แต่เพลง country เจ้าตัวน้อยนี่ทำคุณอินได้ไม่ยากเลยหละ JH13 มีความเป็นดนตรีมีสูงมากในแนวเพลงดังกล่าวมีจุดอ่อนอยู่ที่ Rock แบบ hardcore หน่อยแต่ว่าถ้าเป็น punk หรือว่า progressive แล้วละก็ใช้ได้เลยครับ สำหรับเจ้าของ JH13 ถ้าต้องการให้ฟังร็อคมันส์มากขึ้นแล้วละก็ลอหาแอมป์ที่มีกำลังแรงๆมาลองต่อขับดูรับรองได้ว่าจะยิ่งกว่าถูกใจ ผมได้ลองเอา JH13 ต่อจาก control module ของ BOSE Com3II ซึ่งต่อตรงจาก DAC3 แล้วพบว่า impact ของเสียงต่ำและความเป็นดนตรีเพิ่มขึ้นมาสูงพอสมควรเลยทีเดียว

เวทีเสียงของ JH13 ออกไปในแนวระนาบออกไปทางด้านกว้างมากกว่าด้านลึก เสียงไม่ล้ำหน้ามากไปถอยห่างออกไปข้างหลังหน่อยๆใกล้เคียงกับ UE11 ตำแหน่งของเครื่องดนตรีต่างๆชัดเจน image ย่อเล็กไปตามส่วนของวงตอนที่ฟัง classical JH13 จำลองเวทีได้ค่อนข้างเยี่ยมฟังแล้วโปร่งกว่า UE11 แต่ว่าไม่ได้กว้างกว่ามากนักเพีียงแต่ image ของวงดีกว่า สำหรับบรรยากาศนั้นเนื่องจากว่า JH13 มีเสียงที่สะอาดและสามารถให้รายละเอียดได้ดีบรรยากาศในการฟังเพลงแบบแสดงสดนั้นรู้สึกว่าจะชัดเจนมากไปนิดนึงทำให้อารมณ์ร่วมจะขาดไปบ้างเหมือนกันตรงน้ี UE 11 ทำได้ดีกว่า





สรุป:

สำหรับ audiophile, serious listener รวมไปถึง sound engineer แล้วละก็ถ้าท่านต้องการหา IEM แบบ custom มาใช้ซักตัวนึง JH13 เป็นคำตอบที่ท่านไม่น่าจะผิดหวังเพราะว่าสามารถให้เสียงที่ถูกต้องมีความเที่ยงตรงสูงในขณะเดียวกันก็มีความไพเราะให้กับท่านได้ด้วยในแนวเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีจริงๆเล่น ส่วนดนตรีในแนวที่ใช้เครื่องสังเคราะห์ JH13 ก็สามารถตอบโจทย์ให้คุณได้เช่นเดียวกันเพราะว่าการใส่ลูกเล่นทางดนตรีที่แพรวพราวก็เป็นจุดเด่นของเพลงในแนวนี้และในการที่ JH13 มีเสียงที่สะอาดให้รายละเอียดได้ดีก็สามารถจะทำให้ฟังเพลงในแนวอิเล็กทรอนิก้าได้สนุก

การทำ IEM ที่มี Driver หลายๆตัวยากมากที่จะทำออกมาให้ได้ดีจุดตัดความถี่ในตัวของหูฟังต้องแม่นมากๆไม่อย่างนั้นผมที่ได้ก็คือเสียงที่จะขี่กันหรือแม่แต่เสียงจะโดดจากความถี่ย่านหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่งได้ขอนับถือ Jerry และทีมงาน JH Audio ที่ได้กล้าทำหูฟังรุ่นนี้ออกมาให้ได้ใช้ ผมคิดว่า Jerry ทำหูฟังรุ่นนี้ออกมาสนองความต้องการของตนเองในฐานะที่เป็น sound engineer ให้กับ tour ของศิลปินชั้นนำของโลกหลายๆวงยิ่งพอได้ฟัง JH13 มานานๆทำให้พอเข้าใจไอเดียและความตั้งใจที่ดีของเค้าที่คิดจะฝากฝีมือไว้ในวงการนี้ต่อไป ผมคิดว่า Jerry และทีมงานคงต้องสู้ต่อไปซักพักในวงการนี้ทาง JH Audio ควรที่จะพัฒนาการให้บริการและคุณภาพของชิ้นงานที่ทำออกมาให้รวดเร็วและมีคุณภาพมากกว่านี้มิฉะนั้นเส้นทางที่จะไปยืนอยู่แถวหน้าของความเป็นผู้นำในการทำ Custom IEM ของโลกคงจะเป็นไปได้ยาก

หูฟังตัวนี้ให้เสียงที่กลางๆไม่โดดไปในย่านใดย่านหนึ่งแม้ว่าจะเด่นไปในช่วงความถี่กลางไปถึงสูงก็ตาม ความถี่ต่ำของ JH13 มีไดนามิคที่ดีมากๆถ้าให้ติก็คงจะอยู่ที่ว่าความถี่ต่ำเก็บตัวเร็วไปนิดนึงแต่ว่าโดยรวมๆแล้วถือว่าเสียงที่ออกมาให้ได้ยินนั้นพอดีมากๆ ผมคิดว่าถ้าเจ้าของ HD800 ท่านใดที่ถูกใจกับหูฟังของท่านอยู่แล้วก็คิดว่าน่าจะชอบ JH13 ได้ไม่ยากครับ

ในการเทียบกันระหว่างหูฟังสองรุ่นคือ JH13 และ UE11 ของผมในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าหูรุ่นไหนจะดีกว่ากันแต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการฟังแนวเพลงและความชอบส่วนตัวของผู้ฟังหูรุ่นนั้นๆเป็นหลัก การที่เขียนรีวิวเปรียบเทียบออกมาก็เพื่อเป็นไอเดียประกอบในการตัดสินใจและให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น ส่วนตัวของผมเองเนื่องจากฟังเพลงแบบ analytical และด้วยแนวเพลงที่ฟังส่วนใหญ่รวมไปถึงความชอบส่วนตัวในเรื่องของความถูกต้องของเสียงทำให้ผมชอบ JH13 มากกว่า UE11 เพราะตอบโจทย์ที่ผมต้องการได้ดีมากกว่าแต่ว่าทั้งสองรุ่นต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่เหมือน L3000 กับ HD800 ซึ่งก็ดีกันไปคนละแบบแต่ไม่ได้หมายความว่าเปรียบ UE11 เป็น L3000 และ JH13 เป็น HD800 นะครับเพราะว่าจะเทียบหู full size กับ IEM คงจะเทียบไม่ได้แต่ว่าพอฟังแล้วได้อารมณ์ประมาณนั้นเท่านั้นเองคือ UE11 ฟังสนุกมีสีสันส่วน JH13 ฟังแล้วได้ความสมจริงและก็มีพอดีของเสียงรวมไปถึงความไพเราะในแบบแสดงสดอยู่ในตัวซึ่งผมคิดว่าโดยราคาค่าตัวที่ไม่ไกลกันมากนักนี้ถ้าต้องเลือกตัวใดตัวนึงคงต้องถามตัวเองให้ดีว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน หลังจากที่ฟัง JH13 มาระยะหนึ่งผมก็พอเข้าใจคนที่ปล่อย HD800 ออกไปเมื่อได้ฟัง JH13 แล้วว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้นไปได้สำหรับผมตอนนี้ UE11 เก็บอยู่ในกล่องไปเรียบร้อยแล้วรอวันเอาออกมาฟังตามโอกาสอันควรต่อไป ถ้ามีคนถามว่าหูฟัง custom ตัวไหนที่ได้มาแล้ว"จบ"สำหรับผม JH13 คือคำตอบนั้นครับ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงและการใช้ชีวิตนะครับทุกท่าน





ข้อคิด:

ในช่วงแรกที่ได้ติดต่อกับทาง JH Audio ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับการให้บริการของเค้าหลังจากที่ตามเรื่องไปสามครั้งแล้วไม่ได้รับคำตอบกลับมาทำให้ผมตัดสินใจเลิกที่จะตามเรื่องเพราะคิดว่าเอาเวลาไปคิดเรื่องอย่างอื่นดีกว่าที่จะไปเสียเวลาและอารมณ์แล้วทำให้งานหลักเสียเพราะว่าอารมณ์ขุ่นของตัวเราเอง งานนี้ขอบอกว่า Jerry ควรที่จะปรับปรุงการทำงานของทีมให้ดีมากกว่านี้จะใช้อารมณ์ศิลปินอย่างเดียวในการสร้างสรรค์ผลงานก็คงจะไม่ถูกต้องนักแต่ก็เข้าใจว่างานศิลปะไม่สามารถที่จะเอาเครื่องคิดเลขมากดๆแล้วก็จะได้ผลงานออกมา ศิลปินสร้างผลงานออกมาจากกลางอากาศแล้วเนรมิตทำให้เกิดเป็นชิ้นงานซึ่งต้องเค้นความสามารถทางอารมณ์มากกว่าคนปกติทั่วไปดังนั้นจึงมีความเครียดสูงถ้าถูกตามเข้ามากๆก็คงจะหงุดหงุดจนบางทีอาจจะทำอะไรที่ไม่สมควรออกมาได้

ภาษิตโบราณที่ครูบาอาจารย์มักจะสอนผมอยู่เสมอคือ "ให้เอาเงาไปทับงาน ไว้ใจลูกตาบอดข้าง ไว้ใจลูกจ้างตาบอดหมด" แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ไว้ใจนะครับเพียงแต่ว่าต้องไปช่วยตามดูหน่อยเวลาที่สั่งงานอะไรลงไปเพื่อกันความผิดพลาดแล้วก็มาด่ากันในภายหลังให้เสียอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ "ทำไมถึงทำอย่างนี้ล่ะ" เป็นคำว่ากล่าวอันดับต้นๆของเจ้านายส่วนใหญ่ก็ว่าได้เมื่อลูกน้องทำงานผิดพลาดแต่เจ้านายส่วนมากเช่นกันก็ไม่เคยมองว่า "ทำไมไม่บอกลูกน้องไปก่อนว่างานที่สั่งไปนั้นให้ทำไปทำไม" ถ้าเราบอกจุดประสงค์ของแต่ละงานแต่ละคำสั่งให้ลูกน้องทราบแล้วปัญหาที่จะเกิดตามมาจากการทำผิดคำสั่งจะน้อยลงมากแล้วจะไม่ต้องมานั่งด่ากันในภายหลังว่า "ทำไมถึงทำแบบนี้" อีก

ศิลปินส่วนมาก(รวมผมด้วยคนนึง)มักจะมีนิสัยเสียคล้ายๆกันคือพอเกิดปัญหาขึ้นมาก็มักจะเข้าไปด่าว่าลูกน้องจนหาใครที่จะมาอยู่ทำงานด้วยไม่ได้จนสุดท้ายต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง จึงมามองย้อนกลับมาดูเพื่อแก้ไขตัวเองโดยเอาตัวอย่างจากอดีตนายทหารคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานด้วยกันสมััยอยู่ผับซึ่งท่านมีความสามารถเฉพาะตัวสูงมากเคยเป็นครูฝึกอยู่ในหน่วยทหารที่ว่ากันว่าฆ่าคนมือเปล่าได้ ตอนนี้ท่านดูแลหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอยู่ เมื่อเกิดปัญหาทะเลาะกับใครก็ตามรวมไปถึงลูกน้องของท่านเองนายทหารท่านนี้จะยกมือไหว้คู่กรณีแล้วเดินหนีออกมา ท่านทำแบบนี้ให้ผมเห็นอยู่หลายครั้งอยู่มาวันนึงมีโอกาสผมก็เลยถาม "ทำไมพี่ต้องไหว้เค้าด้วยล่ะ" ท่านก็ให้เหตุผลว่า "เมื่อไหร่ที่ไหว้เป็นการบังคับให้นึกว่าคนๆนั้นมีความดีอยู่ในตัวอยู่จะได้ไม่พลั้งมือทำอะไรลงไป" ก็เป็นอีกมุมมองที่ทำให้ผมได้คิดว่าการถอยไม่ได้หมายความว่าเราแพ้เแต่หมายถึงชัยชนะ อย่างน้อยก็ตัวเองคือชนะใจตัวเองที่ไม่ต้องไปทะเลาะกันหรือลงไม้ลงมือทำร้ายกันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจนก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาในภายหลัง

ในกรณีของ Jerry นี้ก็เช่นเดียวกันก็ถูกที่เราเป็นลูกค้าที่เค้าสมควรจะต้องจัดการทุกอย่างให้ดีตามที่เราได้จ่ายเงินให้ไปแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งผมถือว่าได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนที่สมควรจะให้รับโอกาสถ้าเกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา ถ้าเราให้อภัยคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวได้แล้วการที่จะให้อภัยลูกน้องของตัวเองนั้นง่ายขึ้นเยอะเลยครับ สุดท้ายก็ไม่ต้องเหนื่อยทำงานคนเดียวซึ่งผมว่าคุ้มค่ามากๆ

[Review] เมื่อผมได้ครอบครอง UE11 the Review

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่ MAXXX77 ที่น่ารักของน้องๆ ก่อนที่อุตส่าห์ยุจนผมต้องเสียตังค์เป็นค่า IEM ที่แพงแบบคอดๆ ในครั้งนี้ครับ



ที่มา : ที่จริงแล้วผมไม่ได้คิดจะสั่งเจ้าตัวนี้มาใช้เลย เหตุผลก็เพราะราคาที่แพงคอดๆ ของเค้านั่นเองที่ทำให้ต้องคิดเยอะ แต่ก็มีพี่คนนึงที่เจอกันกี่ทีก็ยุให้สั่งแต่ UE11 ผมก็ผลัดแกมาเรื่อยเพราะรู้สึกว่าแค่เสียงที่ได้จาก TF10 ก็โอเคแล้วสำหรับผม และไม่เคยคิดจะเอาของแกมาลองฟังด้วยเพราะเกรงว่าจะติดใจ Smile แต่ว่าวันหนึ่งบุญพาวาสนาและกิเลสส่งทำให้มีพี่ใจดีที่เมกาเค้าอยากจะจ่ายหนี้ที่ติดค้างกันไว้คืนเป็นของ เลยทำให้ผมต้องตัดสินใจสั่งเจ้าตัวน้อยนี้เพราะว่าไม่มีทางเลือก หุหุหุ สุดท้ายก็เลยได้มาครอบครองในที่สุด

System ที่ใช้ทดสอบ : ได้แก่ iPod Classic 160G คู่ใจกับน้อง UE11 เท่านั้นพูดง่ายๆ ให้บางคนที่ไม่เข้าใจว่าเป็นชุดต่อตรงนั่นเอง(ทำไมเราต้องอธิบายของง่ายให้ยากด้วยเนี่ย) ส่วนเพลงที่ใช้ก็หลากหลายมารายแครี่มากแทบทุกแนวยกเว้นลูกทุ่ง ไทยเดิมและหมอลำ

ชนิดของไฟล์ที่ใช้ : ก็เป็น MP3 ความละเอียดไล่เรื่อยไปตั้งแต่ 128-320k และก็ Apple lossless สำหรับหูรุ่นนี้แนะนำให้ใช้ 192K เป็นอย่างน้อยครับ

การสวมใส่ : การสวมใส่ทำได้ง่ายมากๆ เลย ไม่รู้สึกว่าติดขัดอะไรแม้แต่น้อย พอจับสวมเข้าไปปุ๊บก็ผลุบเข้าไปในช่องหูของผมอย่างง่ายดาย แถมใส่ได้เป็นเวลานานๆ โดยไม่รู้สึกว่าเจ็บหรือว่าปวดในช่องหูเหมือนดังว่าทำมาเพื่อของหูผมโดยเฉพาะ เอ.. ก็ทำมาเพื่อหูของผมโดยเฉพาะนี่นา ลืมไป หุหุหุ ข้อนี้ให้คะแนนเต็มสิบเลยครับผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้จาก IEM ตัวไหนมาก่อน

การออกแบบ : ดีมากครับเพราะว่าทำมาจาก mold หูของผมแท้ๆ สำเนาไม่มีผิดพลาด ตำแหน่งของขั้วต่อสายอยู่ในระดับพอดี แถมได้สีและรูปแบบของ logo ตามที่ผมต้องการอีกด้วย

ความเป็นดนตรี : อันนี้คงต้องเอามาพูดก่อนเลยเพราะว่าเด่นมากๆ ครับทำให้ผมฟังเพลงได้สนุกมากขึ้น เพลงหลายๆ เพลงที่เคยฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่า เออแฮะ มันก็เพราะเหมือนกันนี่เนอะ ทำให้ไม่ต้อง skip ข้ามเพลงบ่อยๆ เวลาสุ่มเพลงอันจะเป็นเหตุให้เปลืองถ่าน iPod ได้โดยใช่เหตุ แล้วก็ตอบสนองเพลงได้หลากหลายแนวมากครับ เพลงที่ผมใช้ทดสอบก็ไล่ไปตั้งแต่ Album และ Single ของ Mary Black, Alison krauss, UFO, Elvis Presley, Mario, Linkinpark, Simple plan, Greenday ไปจนถึง London Symphony Orchestra
หู UE11 นี้เวลาฟังเพลงที่มาจากการแสดงสดเช่นเพลง The Good fight ของ Dashboard Confessional อัลบั้ม MTV Unplugged นี่จะได้อารมณ์มากๆ เลยครับ พอถึงช่วงที่ผู้ชมร้องตามนี่ทำเอาขนลุกชูชันความรู้สึกนี่เหมือนได้ไปอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว นี่เองกระมังที่ทำให้พวกวงดังๆ หลายต่อหลายวงที่ผมชอบเลือกใช้ UE เป็น In Ears Monitors เวลาออก Live tour



เสียงเบส : เมื่อพูดถึงเจ้า UE11 นี้หากไม่พูดถึงเสียงเบสของเค้านี่ก็คงจะเหมือนกับพูดถึง Batman แล้วลืมเอ่ยถึง Robin พูดถึงสมัครแล้วลืมพูดถึงเฉลิม อุ้ย! นอกเรื่อง ขออภัย
เสียงความถี่ต่ำที่ได้จากเจ้าตัวน้อยนี้มาแบบเกินควรเกินคาดครับ ฟัง Concert Simple Plan นี่เหมือนมีกระเดื่องขนาดย่อมๆ มากระแทกอยู่กลางหัวดัง ตึ่บๆๆ มันส์มากขอบอก
มวลของเบสออกมาพอดีครับอาจจะมากไปนิดสำหรับคนที่ไม่ใช่ Bass lover แต่ว่าไม่มีบวมเลยตรงนี้แหละที่ผมชอบมากเพราะว่าเหมือนกับตั้งหนังกระเดื่องไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป หูฟังบางตัวให้เบสออกมาดีแต่ว่าเหมือนกับจงใจจะกระแทกเบสมาให้คนฟังมากไปหน่อยแต่คุณจะไม่เจอปัญหานี้กับ UE11
เสียง Deep Bass ที่มาจากเพลงที่ใช้เสียงสังเคราะห์เช่นเพลง Is it you ของ Cassie นี่ออกมาแบบต่ำมากๆ แต่ก็ไม่ล้ำไปยังความถี่ในช่วงอื่น Upper Bass ก็กระชับดีครับ Dynamic ดีมากๆ เสียง Snare จากเพลง Basket case ของ Greenday ทำเอาอยากกระโดดตามเลยหละ
ข้อดีอีกอย่างของเจ้าตัวน้อยนี้ก็คือว่า สำหรับคนที่เดินทางบ่อยๆ แบบผมเวลาใส่ IEM บนรถหรือว่าบนเครื่องบินเสียงในย่านความถี่ต่ำจะถูกหักล้างโดยเสียงของลมและเครื่องยนต์จนทำให้หายไปบ้างบางส่วนเหมือนกับว่าเบสที่ได้จะบางๆ ไปนิดแต่ปัญหานี้ไม่เกิดกับ UE11ครับ ส่วนหนึ่งคงมาจากการที่เป็นหูแบบ custom ที่ใส่ได้พอดีกับช่องหูของผมทำให้เสียงรอบข้างถูกกันออกไปได้ค่อนข้างเยอะ อีกอย่างก็เพราะเสียงเบสที่เปี่ยมด้วยปริมาณและคุณภาพของเค้านั่นเองที่แม้เสียงความถึ่ต่ำอาจจะถูกลดปริมาณลงไปนิดแต่ก็ยังมีให้ผมมันส์ไปกับเพลงได้อย่างเหลือเฟือ

เสียงกลาง : ออกมานุ่มละมุนพอควร แม้ว่าจะหวานไม่เท่ากับน้องตู้ม W5000 ที่บ้าน แต่ก็ถือว่าให้เสียงกลางออกมาได้ค่อนข้างดี เวลาฟังเสียงร้องของนักร้องหญิงนี่ทำเอาเคลิ้มได้เหมือนกัน ทำให้ผมฟังเพลง Spanish harlem ของ Rebecca Pidgeon ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกยิ่งพอเลื่อนมาฟัง Alison Krauss เพลง Crazy as me และ When you say nothing at all นี่เหมือนคุณเธอมาร้องให้ผมฟังเป็นการส่วนตัวเลยทีเดียว
สำหรับนักร้องไทยนี่ผมเอาเพลงของน้อง Nink และพัดชาในเพลง “บอกช้าเกินไปไหมเธอ” มาเปิดก็ไม่ได้น้อยหน้านักร้องเมืองนอกเหมือนกันครับ เสียงของน้องทั้งสองออกมานุ่มละมุนเหมือนกันกับนักร้องฝรั่งไม่มีผิดเพี้ยนต่างกันเพียงร้องกันคนละภาษาแค่นั้นเอง หะหะหะ Laughing
ส่วนเพลงที่ Rip มาไม่ค่อยละเอียดเสียงกลางไปจนถึงความถี่สูงจะหายไปบ้าง ทำให้เสียงแห้งไปหน่อยครับ ไม่แนะนำอย่างยิ่งให้เอาเพลงที่ Rip มาแบบไม่ค่อยละเอียดมาฟังกับเจ้าตัวน้อยนี้เพราะว่าค่อนข้างขี้ฟ้องเอาการอยู่เหมือนกัน

เสียงสูง : UE ค่อนข้างเด่นในเรื่องของการนำเสนอความถี่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมติดใจเสียงสูงของ UE มาตั้งแต่ได้ครอบครอง TF10 พอมาถึงน้องต้อมคู่นี้ทำเอาลืม TF10 ไปเลย ความละเอียดและความพริ้วของความถี่สูงออกมาดีมากครับ ขา Jazz หากได้ยินเสียงแส้ที่ถูกสะบัดข้อมือตีลงไปบน Hat แบบแผ่วพริ้วนี่เรียกได้ว่าแทบจะเห็นหน้าคนตีที่หลับตาพร้ิมด้วยความอินกับเพลงกันเลยทีเดียว หางเสียงสูงที่ได้นี่ยาวและมีรายละเอียดมากๆ
สำหรับขาร็อคแล้วละก็เสียงกรีดของกีตาร์หรือว่าเสียง Hat ที่ถูกบรรจงตีลงไปแบบสุดแรงเกิดของมือกลองระดับพระกาฬจากแต่ละวงที่ผมบรรจงเลือกมาฟังนี่ทำเอานั่งแทบไม่ติดเก้าอี้เลย Dynamic ที่ดีมากๆ ของ UE11 ทำให้ได้อารมณ์ของร็อคแบบสุดขีดเล่นเอาอยากวิ่งไปขอ Les Paul ที่ขายออกไปแล้วคืนมาเลย หะหะหะ

มิติและเวทีเสียง : ข้อจำกัดของหูฟังแบบ In Ears นี่มักจะตายกันตรงนี้แหละครับแต่ว่า UE11 นี่ทำเอาผมอึ้งเลยทีเดียวเพราะว่าตำแหน่งต่างๆ ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่ออกมาให้ได้ยินนั้นชัดเจนมาก รู้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหนอยู่แถวหน้า ตรงกลางหรือว่าแถวหลัง ยิ่งเอาเพลงที่ใช้วง Orchestra ขนาดใหญ่มาเปิดเช่นเพลง Raiders March ของลุง John Williams นี่แยกตำแหน่งของเครื่องทองเหลือง เครื่องสาย เครื่องเคาะออกจากกันได้ขาดมากๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงที่ทิมปะนีตีกระหน่ำลงมานี่ลมกระแทกเข้าไปในหูทะลุไปถึงกลางหัวเลยครับ หุหุหุ

รายละเอียดและบรรยากาศ : ตรงนี้เองที่ UE11 ทำออกมาได้ดีอีกเช่นกัน นี่เป็นข้อดีอีกอย่างของหูแบบหลาย drivers ที่ความถี่ในช่วงต่างๆ ถูก Crossover แยกส่งไปให้กับ driver แต่ละตัวทำให้ถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ดีมากๆ เสียงเล็กเสียงน้อยจนถึงบรรยากาศรายรอบตัวโน๊ตมีให้รับรู้ได้โดยไม่ต้องพยายามตั้งใจฟัง หากใช้เพลงประเภทที่มีวง Choir ร้องมาเปิดฟังดูจะเด่นชัดมากเช่นเพลง Britten ของ Westminster Choir ทำให้รับรู้ถึงขนาดโถงของโบสถ์ที่ใช้อัดเสียงได้เลย หากเอามาฟังเพลง Pop หรือว่า R&B ร่วมสมัยโดยทั่วๆ ไปก็ทำให้เรารู้ถึงรายละเอียดของเสียงและลูกเล่นต่างๆ ที่ Sound Engineer ตั้งใจอยากจะให้เราได้ยินอย่างครบถ้วนทุกเม็ดไม่มีขาดตกบกพร่อง



สรุป : สั้นๆ สำหรับ UE11 ก็คือว่าเป็นหูที่ฟังสนุกมาก และแพงแบบคอดๆ แต่ก็คุ้มค่าสมราคามากอีกเช่นเดียวกัน
เจ้าตัวน้อยนี้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นเวลาที่ออกนอกบ้าน ความคิดถึงน้องตู้ม W5000 ที่บ้านหายไปเยอะเลยครับ แม้ว่าจะเสียงที่ได้จะไม่เหมือนกับการฟังจากหู Full size แต่ก็ได้เงาๆ มาพอสมควรโดยเฉพาะขนาดของเนื้อเบสและรายละเอียดที่ดีมากๆ ที่เจ้าตัวน้อยนี้มีให้ หากใครจะมองหาหู IEM ที่แพงและเท่ห์คอดๆ ทุกเวลาที่สวมใส่ เจ้า UE11 นี่แหละครับคือหูตัวแรกและอาจจะเป็นตัวเดียวที่คุณต้องมองเลยหละ
สำหรับผมนั้นรู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้จ่ายตังค์ไปเพื่อแลกกับ IEM ของผมตัวนี้มา ที่พูดได้ว่าเป็น IEM ของผมก็เพราะว่าทำมาเพื่อให้ผมใส่แต่เพียงผู้เดียว สีและลายก็เป็นผมอีกที่เลือกแถมที่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสียงที่ออกมาจากเจ้าตัวน้อยคู่นี้มันทำให้ผมฟังเพลงทุกเพลงจาก Playlist ของผมได้สนุกมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมากๆ ครับ หากใครยังลังเลอยู่หลังจากที่อ่านรีวิวนี้แล้วก็รีบคลิกที่ www.ultimateears.com แล้วสั่งได้เลยครับผม หะหะหะ หรือจะฝากผมสั่งให้ก็ได้นาค่าคอมเดี๋ยวผมเบิกกับพี่ MAXXX77 เอง Laughing
ขอบคุณที่อุตส่าห์อ่านที่ผมพล่ามมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ

This is it ให้มันได้อย่างนี้สิ


Photobucket

This is it
กำกับการแสดง: Kenny Ortega
ออกแบบท่าเต้น: Michael Jackson & Travis Payne
เพลงประกอบ: Michael Bearden
นักดนตรี: Michael Bearden, Alex Al, Bashiri Johnson, Tommy Organ, Orianthi Panagaris, Mo Pleasure
ร้องประสาน: Dorian Holley, Judith Hill, Darryl Phinnessee, Ken Stacey
นักเต้น: Daniel Celebre, Misha Gabriel, Mekia Cox, Nick Bass, Chris Grant, Shannon Holtzapffel, Devin Jamieson, Charles Klapow, Dres Reid, Tyne Stecklein, Timor Steffens

สมัยเมื่อเรียนชั้น ป.๕ ได้ออกจากบ้านนอกเข้ามาใช้ชีวิตอยู่หอกับพี่ชายในตัวจังหวัดมีเทปม้วนนึงที่หน้าปกเด่นสะดุดตามากเป็นรูปผู้ชายผิวดำใส่สูทสีขาวเลยดูเด่นมากเมื่อวางอยู่กับเทปม้วนอื่นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกับคนๆ นี้ที่ชื่อว่า Michael Jackson อัลบั้มนี้ได้เปิดหูของเด็กน้อยคนนึงให้รู้จักกับบทเพลงในอัลบั้มที่มีส่วนผสมของดนตรีสารพัดรูปแบบซึ่งตอนโน้้นก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าแบบนี้จะเรียกว่าดนตรีในแนวไหนรู้แต่ว่าชอบ

ต่อมาเมื่อโตขึ้นได้ครอบครองเครื่องเล่นเทปเป็นของตัวเองก็เริ่มสะสมเทปผีค็อค เอ้ย พีค็อคซึ่งพอเหมาะกับเงินในกระเป๋าดีเพราะจะซื้อเทปลิขสิทธิ์แท้ๆ ที่เริ่มมามีบทบาทต่อมาสองสามปีหลังจากนั้นก็ยังไม่ไหว แต่สุดท้ายก็ต้องเจียดเงินมาซื้อแต่เทปลิขสิทธิ์อยู่ดีเพราะว่าในภายหลังเทปผีค็อกได้ถูกกวาดล้างจนแทบจะหายเกลี้ยงไปจากแผงเลยก็ว่าได้ จากนั้นเมื่ออัลบั้มที่ชื่อว่า Bad ออกวางแผงก็ไม่รีรอที่จะไปสอยมาเก็บไว้เป็นเทปประจำหัวเตียงซึ่งต้องฟังเป็นม้วนแรกหลังกลับจากโรงเรียนโดยมีเพลง Bad, I just Can't Stop Loving you กับ Smooth Criminal ที่เด็กคนนี้เปิดฟังรอบแล้วรอบเล่าจนร้องตามได้ นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่สลักสำคัญอะไรนักของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งแต่ก็ถือว่าทำให้เด็กคนนั้นได้รู้จักนักร้องที่นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากอย่างนึงของนักฟังเพลงในยุคนั้นซึ่งตอนหลังส่งผลกับชีวิตของเด็กคนนี้พอสมควรเลยทีเดียวเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นแล้วเริ่มรู้จักที่จะเที่ยวกลางคืนจนสุดท้ายไปจบตรงที่เด็กคนนี้กลายเป็นคนกลางคืนไป

เพลงในอัลบั้ม Dangerous พร้อมกับกระแส Dangerous wolrd tour เป็นกระแสที่รุนแรงมากๆ ในบ้านเราในยุคโน้นทำให้เธคและผับหลายๆ ที่ต้องเอามาเปิดกันทุกคืนโดยเฉพาะเพลง Heal the world ที่จำเป็นต้องเปิดเลยในช่วงเวลาพักถือว่าเป็นอัลบั้มที่โด่งดังสุดๆ อัลบ้ัมนึงในประวัติศาสตร์เพลงสากลเมืองไทยเลยก็ว่าได้แต่เพลงเร็วในอัลบั้มค่อนข้างจะนำมาเปิดกันน้อย(แต่ก็ต้องเปิดตามกระแส)เพราะว่าจังหวะที่แปลกทำให้หาเพลงมาต่อได้ลำบากและคนเต้นตามได้ยากมากๆ ถ้าไม่ใช่แฟนเพลงจริงๆ ในฐานะแฟนคนนึงก็อยากจะบอกว่า MJ นั้นมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นมากทั้งการแต่งตัว บทเพลง ท่าเต้น วิถีชีวิตซึ่งทำให้เค้าแตกต่างจากคนอื่นมาก เพลงของเค้าแม้จะดูเหมือนว่าไม่ซับซ้อนอะไรมากนักแต่ถ้าลองฟังดูแบบพิเคราะห์แล้วจะพบว่าลูกเล่นนี่ได้ถูกใส่เข้าไปแบบเยอะมากมีลูกแทรกลูกสอดแบบกึ่งๆ ครึ่งจังหวะอยู่เยอะถ้าจะมีนักดนตรีเอามาเล่นตามมักจะลักไก่กันเป็นประจำคือเล่นไม่ครบเม็ดและจะใช้วิธีเนียนแอบข้ามเม็ดแปลกๆ นั้นไป ยิ่งพอได้ฟังบทสัมภาษณ์ของนักดนตรีทีมล่าสุดและทีมสุดท้ายในชีวิตของเค้ารู้สึกประทับใจคำพูดประโยคนึงมากที่ว่า "พอได้มาเล่นจึงได้รู้ว่าเพลงของเค้าเล่นยากมาก MJ เก่งที่ทำให้เพลงที่ซับซ้อนกลายเป็นง่ายได้"

สองสามวันก่อนได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งทำออกมาเพื่อเป็นเกียรติและสดุดีแก่เค้าซึ่งเป็นเทปซึ่งบันทึกระหว่างซ้อมระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายนปี 2552 ก่อนที่จะไปเล่น concert ใหญ่ 50 รอบที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษเมื่อได้ดูจบลงก็นึกในใจว่าถ้าเค้ายังมีชีวิตอยู่มาเล่น concert ครั้งนี้คงถือได้ว่าเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่เต็มภาคภูมิแล้วก็เป็น concert สุดท้ายปิดม่านชีวิตของเค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว แม้ว่า step การเต้นและร้องของเพลงต่างๆ จะเหมือนเดิมอย่างที่เคยเล่นมาเมื่อครั้งก่อนๆ แต่ว่าเทคนิคและลูกเล่นใหม่ๆ หลายอย่างได้ถูกใส่เข้าไปในเพลงทุกเพลงทั้งลูกเล่นทางดนตรีและท่าเต้นยังไม่รวมถึงแสงสีบนเวทีที่ทำได้อย่างอลังการ(ถ้าได้แสดงจริงๆ)ซึ่งกำกับเวทีโดยผู้กำกับเวทีคู่ใจตลอดกาลของ MJ คือ Kenny Ortega ผู้กำกับของหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่งในดวงใจของผมคือ High School Musical นั่นเอง ส่วนทีม dancer ที่เปลี่ยนชุดใหม่หมดทั้งชุดเลยก็คัดเลือกจากนักเต้นชั้นเยี่ยมจากทั้งโลกในหลักร้อยมาเหลือเพียงแค่สิบเอ็ดคนเมื่อได้ดูการซ้อมผ่านไปก็ยอมรับว่า MJ และ Kenny เลือกนักเต้นและทีมงานได้เจ๋งจริงๆ แต่ละคนรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรในจังหวะไหนบนเวทีไม่มีหลุดคิว ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีแง่มุมเล็กๆ น้อยๆ ให้เราได้เห็นด้านที่น่ารักของ MJ ที่ช่วยให้กำลังใจทีมงานในระหว่างซ้อม เห็นความไว้เนื้อเชื่อใจของเค้าที่มีต่อทีมและวิธีการแนะวิธีเล่นเต้นของ MJ ซึ่งจะว่าไปหาดูได้ไม่ง่ายนักส่วนใหญ่เท่าที่เคยหาวิดีโอของเค้ามาดูก็จะเจอที่เน้นจะเจาะไปที่ตัวของ MJ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนอื่นๆ แต่สำหรับ This is it นี้ไม่ใช่ เมื่อดูจบแล้วคล้ายๆ กับว่า Kenny ตั้งใจจะสดุดี MJ ผ่านวิธีการทำงานและจากมุมมองของทีมงานชุดสุดท้ายนี้

ภาพของ DVD และ Blu-ray เรื่องนี้ที่ทำออกมาจำหน่ายโดย SONY ถือได้ว่าทำออกมาในระดับที่นำไปใช้อ้างอิงได้เลยทีเดียวโดยเฉพาะ Blu-ray ที่ภาพชัดได้ใจจริงๆ เม็ดสีก็ละเอียดดีมาก เสียงก็อัดมาเยี่ยมที่เด่นมากๆ คือเสียงกลองและเบสที่สดชัดสมจริงเป็นอย่างยิ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงที่จะมีไว้เก็บบนชั้นถ้าเป็นแฟนตัวจริงของ MJ ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นแฟน MJ แต่อยากจะรู้ว่าการซ้อมก่อนที่จะเป็น concert ในระดับโลกได้นั้นเป็นอย่างไรก็แนะนำให้ลองหามาดูครับแล้วจะรู้ว่าในฐานะมืออาชีพนั้นการซ้อมก็คงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ซึ่งมีประโยชน์ตรงที่ทำให้เราไม่พลาดอีกทั้งสามารถแตกลูกได้เทคนิคและสามารถใส่อะไรใหม่ๆ เข้าไปได้ซึ่งเก็บเม็ดได้ในระหว่างซ้อมนั่นเอง ตัว MJ เองที่ถือว่าเกิดมาเต้นและเกิดมาเพื่อเป็น superstar ก็ยังต้องซ้อมและเห็นความสำคัญของการซ้อมมากๆ ถึงมากที่สุดเพื่อที่จะเป็นการคืนกำไรให้กับคนดูบนเวทีซ้อมจะรู้ได้เลยว่าเค้ามีความสุขที่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น "บนเวที" ที่ๆ เค้าสามารถจะหนีจากเรื่องอะไรต่อมิอะไรรอบตัวเพื่ออยู่กับตัวเองกับสิ่งที่เค้ารัก "ดนตรีและการเต้น"

Photobucket

"It's an adventure. It's a great adventure. We want to take them places that they've never been before. We want to show them talent like they've never seen before."

ประโยคนี้ของ MJ เป็นหลักการที่ดีมากสำหรับใครที่คิดจะเดินทางในเส้นทางสายดนตรี เป็นแง่คิดที่ดีที่ผมชอบและประทับใจเลยอยากจะให้ทุกคนได้อ่านกัน โชคดีนะ MJ RIP

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับทุกท่าน

ปล. ภาพประกอบจากภาพยนตร์ ลิขสิทธิ์โดย MJ company LLC กับ SONY